ชีวิตสัตว์...ที่ชื่อว่ามนุษย์
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เรื่องเล่าวันพฤหัสสระบ่อดี
"โอ้ย เช้าแล้วเหรอเนี่ย ยังไม่อยากตื่นเลย" หญิงรูปร่างอ้วนกลมคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนวม หนานุ่ม ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้หญิงสาวยังอยากหลับตาและนอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นอยู่ ทว่าสำนึกส่วนนึงบอกว่าต้องไปทำงาน
"เฮ่อ ลุกก็ได้" ร่างอ้วนกลมลุกขึ้นมาจากเตียง ปัดผ้าห่มซึ่งนอนกอดมาทั้งคืนอย่างไม่ใยดี เพราะหมดประโยชน์ มันกองเป็นก้อนกลมๆอยู่กลางเตียง
หญิงสเดินไปหยุดอยู่หน้ากระจก มืออวบสั้นลูบไปยังเส้นผมของตนเอง สัมผัสได้ถึงความมันเยิ้มเนื่องจากไม่ได้สระมาหลายวัน
"ค่อยสระตอนเย็นแล้วกัน เช้านี้มันหนาวกว่าปกตินี่นา" หญิงอ้วนพูดกับตัวเอง ถอดเสื้อผ้าโยนใสตะกร้าแล้ววิ่งผ่านน้ำ ถูสบู่สวกๆ เพราะอากาศที่หนาวทำให้น้ำประปาเย็นไปด้วย เธอราดน้ำพอให้ฟองสบู่หมดไปจากกาย แล้วก็แปรงฟัน ล้างหน้า เป็นอันเสร็จ เรียกได้ว่าเร็วมาก ถ้าเรื่องอื่นหญิงสาวอาจจะช้าเพราะน้ำหนักตัว เคลื่อนไหวลำบาก ทว่าเรื่องการอาบน้ำนี่เธอชนะเลิศ
เมื่ออาบน้ำเสร็จ หญิงสาวก็คุ้ยหาเสื้อผ้าที่ยัดกันอยู่ในตู้ ได้เสื้อยืดยับๆตัวนึงมา เดินไปหาเตารีด จับนาบๆ ครู่เดียวก็เป็นอันเสร็จ จากนั้นจึงใส่กางเกงผ้ายืดธรรมดา เครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้ว มาถึงการแต่งหน้าทาปาก...เอ่อพูดผิด เรียกได้ว่าแป้งไม่ทา ผมแทบไม่ได้หวี เพียงแค่จับมัดเป็นก้อนกลมไว้บนหัวเนื่องจากไม่ได้สระผม
"นี่แหละ สวยใสธรรมชาติสุดๆ" หญิงสาวยิ้มให้ตัวเองในกระจก แล้วรีบออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน
การทำงานของเธอในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น เธอมีอาชีพเป็นพนักงานขายของในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ก่อนไปทำงานเธอได้แวะซื้ออาหารเช้า แบบเบาๆติดไม้ติดมือไปด้วย นั่นคือข้าวผัดไก่ +ไข่ดาว ไก่ทอดหนึ่งชิ้นใหญ่ ชาเย็นหนึ่งแก้ว เพียงเท่านี้เช้านี้เธอก็มีความสุขแล้ว
"สวัสดีทุกคน เค้ามาแล้ว"
"หวัดดี ซื้ออะไรมาเยอะแยะ"เพื่อนร่วมงานสาวทักทายกลับ
"ข้าวเช้าไง แกกินไรยังอ่ะ ไปซื้อได้นะเดี๋ยวเราดูร้านเอง" หญิงสาวบอกอย่างใจดีพลางวางกระเป๋าและจัดแจงอาหารของตนใส่จานเพื่อเตรียมตัวรับทานอย่างใจจดจ่อ
"เรียบร้อยแล้ว กาแฟกับขนมปัง"
"เหรอแค่นี้จะอิ่มเหรอ อาหารเช้ามันดีต่อสุขภาพนะ เธอต้องกินเยอะๆ กินของที่มีประโยชน์นะรู้ไหม" หญิงอ้วนพูดพลางหยิบชาเย็นขึ้นดูดอึกใหญ่่แล้วหยิบไก่ทอดน่องโตขึ้นมากัด สีหน้าดูมีความสุข
"อุ้ยลูกค้ามา เธอไปรับแขกหน่อยนะ เราขอกินข้าวก่อน" เพื่อนสาวพยักหน้าและรีบไปบริการลูกค้าที่เข้ามาซื้อของ ผ่านไปสักพัก เมื่อกลับมาหาเพื่อนอีกที ของที่อยู่บนโต๊ะก็หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงน้ำแข็งเปล่าที่อยู่ก้นแก้ว
เพื่อนสาวมองนักเขมือบสาวยิ้มๆ แล้วชวนกันไปหน้าร้านเพื่อทำงานของตนต่อไป จัดของ คิดเงิน ทำความสะอาดร้าน สองสาวทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี ระหว่างนั้นหญิงอ้วนยังคงกินของว่างระหว่างวัน แต่ก็ยังคงตั้งใจทำงานของตนอย่างเต็มที่ สองสาวทำงานไปด้วยความสุขใจ
"สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ" หญิงอ้วนเดินไปหาลูกค้าชายคนหนึ่ง เธอมองจากด้านหลังเห็นเขาก้มๆเงยอยู่หน้าตู้เครื่องดื่มอยู่นานแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปให้ความช่วยเหลือตามหน้าที่ ทว่าเมื่อลูกค้าท่านนั้นหันมา เธฮก็ตกอยู่ในอาการภวังค์
"โอ้พระเจ้า นี่ใช่คนจริงๆเหรอ ทำไมหล่อเยี่ยงนี้" หญิงอ้วนคิดในใจ
"ขอบคุณครับ คือผมหาเครื่องดื่ม...ไม่เจอนะครับไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน หรือหมดแล้วครับ" เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยออกมาทำให้หญิงตรงหน้ายิ่งเคลิ้มไปใหญ่
"จะดีแค่ไหนนะ ถ้าเขาเรียกชื่อเราด้วยความรัก... อ้วนจ๊ะ อ้วนจ๋า...โอ้ยคิดแล้วฟิน
หญิงอ้วนยืนบิดไปมา โดยไม่ได้ให้คำตอบใดๆแก่ลูกค้าเทพบุตร จนได้ยินเสียง กริ่งสัญญาณอัตโนมัติที่จะดังเมื่อประตูเปิดนั่นแหละ เธอจึงรู้สึกตัว และก็ได้เห็นแผ่นหลังเท่ๆของชายในฝันเดินออกไปแล้ว
"อ้าว ไปแล้วเหรอ กำลังจะตอบเลย ทำงอนไปได้"
หลังจากวันนั้น ชีวิตการทำงานของหญิงอ้วนก็เปลี่ยนไป เกือบๆหกเดือนแล้วที่เธอได้มีโอกาสเจอเขา ชายหนุ่มเทพบุตรทุกวัน เธอสังเกตว่าเขาจะมาซื้อของในร้านตอนหกโมงเย็นทุกๆวัน แล้วก็ซื้อโยเกิรต์ น้ำเปล่า สองอย่างเพียงแค่นี้ เขาคงเพิ่งออกกำลังกายเสร็จ เหงื่อโทรมกายช่างดูเซ็กซี่เสียจริง โอ้ย อ้วนใจเต้น นี่เรากำลังตกหลุมรักเขาเหรอนี่
"เอ่อ คุณครับ"
"คะ" หญิงอ้วนสะดุ้งเมื่อจู่ ชายหนุ่มที่เธอจ้องจะกิน...เฮ้ย จ้องมองก็มาอยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน
"เท่าไหร่ครับ"
"คะ อะไรเท่าไหร่คะ" หญิงอ้วนไม่เข้าใจคำถาม
"ทั้งหมดนี่เท่าไหร่ ช่วยคิดเงินให้ด้วยครับ" ชายหนุ่มพูดยิ้มๆอย่างคนอารมณ์ดี
"อ้อ ค่ะๆๆ" หญิงอ้วนได้สติ รีบคิดเงินทันที
"น้ำเปล่า โยเกิร์ติ แล้วก็อมยิ้ม ทั้งหมด 45 บาทค่ะ" หญิงอ้วนตอบเสียงเบาๆไม่สบตาชายหนุ่ม เพราะเธอกลัวจะหัวใจวายตาย แค่นี้ก็ใจเต้นรัวอยู่แล้ว ยิ่งดูใกล้ๆชายหนุ่มหล่อมาก หล่อจริง ณเดช มาริโอ้นี่ชิดซ้ายเลยนะ โอ้พระเจ้า
"ฮึๆๆๆ" ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
"นี่ครับ 45 บาท"ชายหนุ่มยื่นเงินให้หญิงสาวพอดี ไม่ต้องรอตังทอน หญิงอ้วนจริงรีบกระวีกระวาดจับของทั้งหมดใส่ถุง
"ขอแค่น้ำกับโยเกิร์ตก็พอครับ ส่วน...อมยิ้มนั่น...ผมให้" พูดจบซ้ายหนุ่มก็คว้าถุงในมือหญิงสาวแล้วเดินออกไปจากร้านทันที เหลือเพียงอมยิ้มแทนใจ แทนตัวของพ่อเทพบุตรสุดหล่อ
"แก เป็นไร ยืนนิ่งเชียว" เพื่อนสาวซึ่งเพิ่งเดินเขามาในร้านเอ่ยทักหญิงอ้วน แล้วเหลือบไปเห็นอมยิ้มสีแดงอันนึงวางอยู่
" เฮ้ย ลูกค้าลืมเหรอ คนไหน ออกไปนานยัง เดี๋ยวฉันวิ่งเอาออกไปให้" เพื่อนสาวพูดจบก็เอื้อมมือจะคว้าอมยิ้ม ทว่าพลาดเป้า เพราะมือสั่นอวบนั้นรีบชิงไปเสียก่อน
"ไม่ๆ นี่ของฉัน คือ.....มีคนให้ฉันอ่ะแก๊..." หญิงอ้วนพูดด้วยความเขินอาย ใบหน้าที่ปกติขาวซีด บัดนี้แดงกล่ำ
"เฮ้ยจริงดิ หล่อป่ะ" เพื่อนสาวยิ้มกว้าง เมื่อเห็นอาการบิดไปมาของเพื่อน
"อย่าพูดว่าหล่อเฉยๆเลย โปรดเรียกว่า โคตรจะหล่อเลยดีกว่า"
"โห ขนาดนั้นเลยเหรอ ฮ่าๆๆๆๆ" เพื่อนสาวหัวเราะดังลั่นกับคำตอบของเพื่อน แล้วเดินไปทำงานของตน
วันต่อมา หญิงอ้วนใจจดจ่ออยู่กับการมาของพ่อเทพบุตรของเธอ ระหว่างจัดของอยู่เธอก็ชะเง้อมองผ่านกระจกใส่ในร้าน เพื่อรอ...และเธอก็ได้พบเขา...และหญิงสาวร่างผอมบางคนหนึ่ง
ไม่นะ เขามีแฟนแล้วเหรอเนี่ย แล้วที่ผ่านมาคืออะไร มาให้อมยิ้มเราทำไมอ่ะ ทำไมๆๆๆ หญิงอ้วนส่ายหัวไปมาตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งสายตาเจ็บปวดผ่านกระจกนั่นออกไป ทว่าขณะนั้นเองโดยไม่ทันระวัง เธอก็ชนกับลูกค้าชายคนหนึ่ง จนเธอเซไปชนชั้นวางของที่อยู่ใกล้ๆล้มลง สินค้าตกเกลื่อนเต็มพื้น แถมข้อมือเธอยังเคล็ดอีกต่างหาก เนื่องจากตอนกำลังจะล้มเธอใช้มือยันพื้นไว้ ทว่าจากน้ำหนักตัวที่มากทำให้เธอได้รับการบาดเจ็บเพิ่ม
"เธอนี่ อ้วนแล้วไม่รู้จักระวังอีก" หญิงอ้วนเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนนั้น
"นี่ถ้าฉันเป็นอะไปนะ ไม่อยากจะคิดเลย เธอรับผิดชอบไหวเหรอ พนักงานที่นี่เขาทำงานกันยังไง อ้วนแบบนี้ อืดอาด กินเนื้อที่ลูกค้าจะเดินก็มาขวางทางอยู่ได้ " พูดจบหญิงผู้สูงศักดิ์ก็เดินจากไป ปล่อยให้นางทาสตัวกลมนั่งจมอยู่กับกองเลือด...เฮ้ย...ซอสมะเขือเทศที่หกเลอะเต็มพื้นเนื่องจากตกลงมาแตก
"ฮือๆๆ"
"เฮ้ยแก เกิดอะไรขึ้น" เพื่อนสาวพนักงานที่เพิ่งเข้ามาพอดี รีบเข้ามาช่วยหญิงสาวไว้ หลังจากสอบถามเธอก็เข้าใจได้ทันที
"ทำไมอ่ะ คนที่ฉันแอบชอบ แอบเฝ้าดูมาเป็นเดือนๆต้องมีแฟน แถมยังโดนหาว่าอ้วน หาว่าเกะกะ ทำไมเหรอ อ้วนแล้วมันผิดตรงไหนอ่ะ ทำไมมีแต่คนมาว่า มาล้อ ฮือๆๆ" พูดจบเธอก็ดูดชาเย็นแก้วใหญ่ที่เพื่อนสาวซื้อมาให้เพื่อปลอบใจ
"อ้วนมันไม่ผิดหรอกนะแก แต่แกก็ต้องเข้าใจนะ ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะชอบคนอ้วน เขาก็ต้องชอบอะไรที่มันสวยๆ ผอมๆ ดูดีๆอ่ะ"
จบประโยค หญิงอ้วนก็ปล่อยโฮออกมาอีกครา คราวนี้ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อคำพูดของเพื่อนมันกระทบกระเทือนใจตน
"ฮือๆๆๆๆๆๆ"
"อ้าวเฮ้ย ขอโทษฉันพูดถึงกรณีทั่วๆไป มันอาจจะมีก็ได้นะ ไอ้ผู้ชายที่ชอบคนอ้วนนะ แกเป็นตัวของตัวเองนะดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องตามกระแสหรอก อย่างแกเนี่ยอวบเว้ย ไม่ใช่อ้วน" เพื่อนสาวให้กำลังใจหญิงอ้วน
"จริงเหรอ ฉันอวบเหรอ ไม่ได้อ้วนนะ" หญิงอ้วนหยุดร้องไห้เมื่อได้ยินคำปลอบจากเพื่อน
"เออ อวบ"
หลังจากวันนั้นหญิงอ้วนก็คิดใหม่ทำใหม่ เธอหันมาลดความอ้วนอย่างหนัก เธอซื้อยาลดความอ้วนที่เขาโฆษณากันว่าดี เธอไปซื้อมากินหมด
"แก ฉันว่าแกอย่ากินมันเลยไอ้ยาลดความอ้วนนี่ อันตราย เดี๋ยวโย่ๆนะ แล้วนี่แกยังไม่กินอะไรเลยใช่ไหมตั้งแต่เช้า ทำไมวะ อย่าหักโหมมากนะเว้ย ฉันก็บอกแกแล้วว่า ยังมีคนที่ชอบคนอ้วน..เอ่ออวบอย่างแก ฉันมั่นใจ"
"ไม่ฉันต้องทำให้ได้ ยังมีคนล้อฉันอยู่เลย และคนที่ฉันชอบ เขาจะได้หันมาสนใจฉันบ้าง แล้วไอ้ยานี่มันดีจริงๆนะ กินแล้วไม่หิวข้าวเลยอ่ะ เนี่ยลดไปสองโลและ แค่อาทิตย์เดียวเองนะ"
"โห ไม่ได้นะแกอันตราย"
"พอๆๆไม่ต้องพูดแล้ว ขี้เกียจฟัง ใช่สิแกมันผอม ดูดีอยู่แล้วหนิ แกไม่เข้าใจคนอ้วนอย่างฉันหรอก เปอร์เซนต์ที่แกจะมีแฟนมันก็ต้องสูงกว่าฉัน แกจะเก็บไว้คนเดียวใช่ไหม " พูดจบหญิงสาวก็หันหลังให้เพื่อนสาวทันที
"อ้าวเตือนดีๆนะ ทำไมต้องมาหงุดหงิดเราด้วยล่ะ" เพื่อนสาวอ้วนถอนหายใจ
หลังจากวันนั้นผ่านไป ทั้งสองก็มึนตึงเรื่อยมา เพื่อนสาวเตือนหญิงอ้วนให้หยุดใช้วิธีอันตรายอย่างไรเธอก็ไม่ฟัง พ่อเทพบุตรสุดหล่อก็ยังคงมาซื้อของที่ร้านเป็นประจำ เขายังคงให้อมยิ้มหญิงอ้วนทุกครั้งที่เข้ามาซื้อของ ทำให้หญิงสาวพอมีกำลังใจในการลดความอ้วนเพื่อเขา เพื่อความรัก.....
สองเดือนผ่านไป เราไม่สามารถเรียกตัวเอกของเรื่องว่าหญิงอ้วนได้แล้ว เพราะเธอผอม!!!และผอมเกินไป
หญิงผอมแห้ง หน้าซีดเซียวยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่หน้าเคาท์เตอร์แคชเชียร์ ส่วนเพื่อนสาวคนเดิม จากที่ผอมตอนนี้เธอกลับอ้วนกลม เสมือนฝาแฝดของหญิงอ้วนในภาคที่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งสองถึงเปลี่ยนไป
"แกจะกินอีกนานไหม เห็นไหมลูกค้าเข้ามาในร้านแล้ว" หญิงผอมเกินบอกเพื่อนอ้วนให้รู้ตัว เธอเหลือบมองขาไก่น่องโตที่บรรจุเต็มถัง ไก่จากร้านไก่ทอดชื่อดัง เธอเช็ดน้ำลายตัวเองแล้วรีบละสายตาจากมัน เธอกลัวว่าจะอดใจไม่ไหว นี่สองเดือนผ่านไปเป้าหมายของเธอสำเร็จแล้ว น้ำหนักเธอหายไปเกือบ 30กิโล ทว่า สิ่งที่หวังว่าจะเกิดขึ้นเดือนแรกๆที่เธอลดความอ้วน พ่อเทพบุตรของเธอยิ้มให้ ซื้ออมยิ้มให้เธอทุกวันปกติ ทว่าสองเดือนหลังจากที่เธอผอมเพื่อเขา เขากลับยิ้มน้อยลง...อมยิ้มที่เคยได้ประจำ กลับไม่ได้ เธอคอยปลอบใจตนเองเรื่อยว่าเราคงผอมไม่พอ เลยตั้งใจลด อดข้าว กินยาสารพัดวิธี ในที่สุดก็สำเร็จไขมัน น้ำหนักก็หายไป
ทว่าหายไปพร้อมกับเขา...พ่อเทพบุตรของเธอ
วันหนึ่งใน ฤดูหนาว
"แก ฉันมีอะไรจะบอกอ่ะ" เพื่อนอ้วนสกิดหญิงผอมเกินเบาๆ
"อะไร อย่ามายุ่งหน่า โมโหหิว" หญิงผอมเกินบอกออกมาอย่างหงุดหงิด
"อะไรว่ะ ฉันพูดดีดีนะ แกเคยร่าเริง กินง่ายอยู่ง่าย อารมณ์ดีกว่านี้ ทำไมแกเป็นแบบนี้ว่ะ แต่เอาเถอะในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันมานาน ตั้งแต่แกอ้วน ฉันผอม จนตอนนี้แกผอมฉันอ้วน ฉันดีใจนะที่ได้รู้จักแกอ่ะ แต่ที่ฉันจะบอกแกวันนี้คือ ฉันจะลาออก"
"ห๊า ลาออก" หญิงผอมเกินอุทานออกมาอย่างใจหาย
"ใช่ลาออก...ฉันจะแต่งงาน"
หญิงผอมเกินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ทว่าเมื่อเธอสำรวจรูปร่างของเพื่อนแล้ว เธอก็ส่ายหัวไปมา
"อย่ามาล้อเล่น อ้วนๆอย่างเธอเนี่ยนะ จะแต่งงาน ใครเขาจะชอบเธอ อย่ามโนดีกว่า" เพื่อนอ้วนแอบเสียใจเล็กน้อยเมื่อเพื่อนที่เคยสนิทคิดแบบนี้กับเธอ
"ถ้าเป็นเมื่อก่อนแกจะไม่พูดกับฉันแบบนี้"
"ใช่ไง ตอนนั้นฉันมันอ้วน มันอ่อนต่อโลกไง ฉันเลยโดนคนอื่นล้อ แต่ตอนนี้ฉันผอมแล้ว ฉันต่างหากที่ต้องได้แต่งงานก่อนแก ไม่ใช่หญิงอ้วนอย่างแก" หญิงผอมเกินประกาศกร้าว
"ที่รัก ไปกันยัง" และแล้วก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นกลางวง
"คุณ..." หญิงผอมเกินอุทานออกมาอย่างตกใจ
พ่อเทพบุตร...พ่อเทพบุตรของเธอปรากฏตัวต่อหน้าหลังจากที่เขาหายตัวไปหลายเดือน
"เอ่อ...สวัสดีครับ" ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาวเล็กน้อย แล้วหันไปโอบไหล่เพื่อนอ้วนของเธอ
"นี่หมายความว่าไง"
"นี่คือคนที่ฉันจะแต่งงานด้วย" เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ หนุ่มที่เธอหมายปอง ตอนนี้กลับเป็นคนรัก และสามีในอนาคตของเพื่อน แล้วสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดนั้นมันคืออะไร
"ไม่จริง แกโกหก ไอ้เพื่อนชั่ว" ด้วยความโมโหเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด หญิงผอมเกินตรงเข้าทำร้ายเพื่อนอ้วน เกินสงครามเล็กๆขึ้นในร้านแห่งนั้น
"พอเถอะครับคุณ" เสียงที่เคยนุ้มทุ่มน่าฟัง ตะโกนใส่หน้าหญิงผอมเกินอย่างแข็งกร้าว
ชายหนุ่มตรงเข้าประคองภรรยาในอนาคตของตนด้วยความทะนุถนอม
"ทำไมคะ ฉันอุตสาห์ทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ถูกใจคุณ อมยิ้มที่คุณให้ รอยยิ้มที่คุณให้ ฉันยังคิดถึงมันอยู่เสมอ คุณจะปฏิเสธเหรอว่าคุณไม่มีใจให้ฉัน หรือว่าไม่ใช่!"
"ใช่ ผมชอบคุณ!" หญิงผอมเกินหลุดยิ้มออกมาเพียงนิดทว่า เมื่อได้ยินประโยคถัดมา
"เคยชอบ เคยชอบคุณ"
"ผมยังไม่เคยบอกคุณใช่ไหมว่าผมชอบผู้หญิงที่อวบๆ อ้วนๆ เห็นแล้วมันน่ากอด น่ารักหยิกแก้ม" พ่อเทพบุตรพูดพลางกอดกระชับภรรยาในอนาคตของตนที่ร้องไห้เงียบในอ้อมกอด
"แล้วตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรก ผมก็ตกหลุมรักคุณ ผมมาซื้อของที่นี่ทุกวัน เพื่อที่จะได้มาเจอคุณมาเห็นหน้า ได้คุยกับคุณ อมยิ้มนั่นผมก็คิดว่าเหมาะกับคุณ จนวันเวลาผ่านไป หญิงสาวที่เคยมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า คนที่ผมเคยแอบเฝ้ามองเธอทานขาไก่น่องโตๆอย่างเอร็ดอร่อยก็เปลี่ยนไป เธอหน้าบึ้งตึง หงุดหงิดง่าย เธอเหวี่ยงวีนใส่เพื่อนร่วมงาน"
"นี่หมายความว่าที่คุณเปลี่ยนใจ เพราะคุณชอบคนอ้วน แล้ว แก ไอ้เพื่อนทรยศ แกแย่งเขาไปจากฉัน แกรู้ใช่ไหมว่าเขาชอบคนอ้วน หลังๆมานี่แกถึงได้กินทุกอย่างที่ฉันเคยกิน!"
"ผิดแล้ว...มันไม่ใช่เลย แรกเริ่มผมอาจจะชอบที่รูปร่างคุณ หน้าตาบานๆของคุณ แต่สิ่งที่ผมประทับใจคือรอยยิ้ม นิสัยใจคอของคุณ ผมเฝ้ามอง ผมแอบชอบ แม้ว่าหากคุณจะผอมเพื่อผม แต่ถ้าคุณยังคงรอยยิ้มที่สดใส จริงใจ มองโลกในแง่ดี ไม่เคร่งครัด ไม่เครียดจนเกินไป ผมคิดว่าผมคงรักคุณได้ แต่ไม่เลย คุณโมโหร้าย และหงุดหงิดเพื่อนร่วมงาน วันนั้นผมจึงได้พูดคุยและทำความรู้จักกับคนรักของผม" พูดจบชายหนุ่มก็กระชับร่างกลมๆในอ้อมกอดเขาอีกนิด
"ผมปรึกษาเธอเรื่องคุณ เธอปรึกษาผมเรื่องที่เพื่อนของเธอหมกหมุ่นกับการลดความอ้วนมากเกินไป คุณเริ่มหงุดหงิด ผมเริ่มเห็นใจเธอ และผมก็ตกหลุมรักจิตใจที่อ่อนโยนของเธอ"
"ผมขอโทษ จะบอกว่าผมนอกใจก็ได้ เพราะผมอยากใช้ชีวิตอยู่กับคนมองโลกในแง่ดี ร่าเริง มีความสุขกับทุกๆอย่างบนโลก"
"ทำไม แกไม่บอกฉัน แกบอกฉันได้หนิ" หญิงผอมเริ่มจิตตกเมื่อรู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง
"ฉันบอกแกแล้ว ว่ายังมีคนที่ชอบคนอ้วนอยู่ แต่แกก็ไม่เชื่อฉัน"
"แล้วทำไมแกไม่บอกล่ะว่าเขาชอบฉันแบบนั้น ฉันจะเปลี่ยนเพื่อเขา ทำไม แกอยากจะเก็บเขาไว้เองใช่ไหมๆๆ"
"ฉันไม่อยากให้แกเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร ฉันอยากเห็นแกมีความสุขแบบเดิม แกทุกข์ใจกับพ่อเทพบุตรของแกมากเกินไป จนฉันต้องเข้าไปคุยกับเขา แล้ว....ฉันขอโทษ ฉันก็ตกหลุมรักเขาเหมือนแก"
"ยังไงแกก็ผิด แกรู้ว่าฉันชอบเขา แล้วเขาก็ชอบฉัน"
"ฮือๆๆฉันขอโทษ" เพื่อนอ้วนร้องไห้หนักเมื่อต้องมาทะเลาะกับเพื่อนที่เคยสนิท
"พอเถอะ ผมผิดเอง ผมขอโทษ เราไปกันเถอะที่รัก..ไม่ต้องร้องนะครับ" เทพบุตรสุดหล่อรีบจบการสนทนาเพราะไม่อยากให้ภรรยาในอนาคตต้องเสียน้ำตาไปมากกว่านี้
"จะไปกันง่ายๆแบบนี้นะเหรอ"
"พอเถอะ ในฐานะที่ผมเคยรู้จักคุณมานาน กลับไปเป็นแบบเดิมเถอะครับ วันนั้นคุณมีความสุข มันไม่เกี่ยวว่าตอนนั้นคุณอ้วนหรือผอม คนเราไม่ได้จะรักกันเพราะรูปร่างหน้าตา แรกๆอาจจะใช่ แต่คนที่จะต้องแต่งงาน จะใช้ชีวิตด้วยกันในอนาคตจะต้องเป็นคนดี คิดดี ผมเชื่ออย่างนี้ ขอให้คุณโชคดี"
แล้วเทพบุตรสุดหล่อก็เดินจากไปพร้อมกับภรรยาอ้วนกลมแต่จิตใจดี เหลือไว้เพียงหญิงผอมเกินไป กับใจที่ขุ่นมัวไว้เพียงลำพัง
......เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....
วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ศีลข้อ4 มุสาวาทา เวรมณี ไม่ใช่แค่การพูดไม่จริงอย่างเดียว
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
7/11/59
สวัสดีค่ะ ตามสัญญาวันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องศีลข้อ4กันค่ะ
มุสา แปลว่า เท็จ ไม่จริง
วาท แปลว่า วาจา คำพูด ซึ่งส่วนใหญ่คนมักโกหกกันทางคำพูด ทว่าการแสดงออกทางกายก็ถือว่าใช่เช่นเดียวกัน
ทางกาย เช่น การเขียนจดหมายเท็จ การพิมพ์ข่าวเท็จ การทำหลักฐานปลอม การทำเครื่องหมายซึ่งทำให้คนหลงเชื่อ การสั่นศีรษะ การพยักหน้า เป็นต้น
ศีลข้อที่4นี้ครอบคลุมถึงสิ่งใดบ้าง
1.การโกหก
2.การพูดส่อเสียด
3.การพูดคำหยาบ
4.การพูดเพ้อเจ้อ
การโกหก คือความไม่จริง เป็นเท็จมีทั้งหมด 7 ลักษณะ ได้แก่
1.การปด
โกหกชัดๆ รู้ว่าไม่รู้ เห็นว่าไม่เห็น
ไม่มีว่ามี
2.การสาบาน เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าตนไม่เป็นเช่นนั้น
หรือการสาบานในการเป็นพยานว่าจะพูดเรื่องจริง แต่จริงๆแล้วไม่จริง
3.การทำเล่ห์ การอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์ เช่นใบ้หวยโดยไม่รู้จริง
4.มายา คือการแสดงอาการหลอกทำให้เขาเข้าใจผิดจากความจริง เจ็บน้อยบอกว่าเจ็บมาก
ไม่เจ็บทำเป็นเจ็บ
5.ทำเลศ จริงๆไม่อยากพูดเท็จ เล่นสำนวนให้คนฟังคิดผิดไปเอง พูดคลุมเครือ เล่นสำนวน
เช่น เห็นโจรวิ่งราว อยากช่วยปกปิด เลยย้ายที่ยืน พอคนมาถามก็บอกว่า
อยู่ที่นี่ไม่เห็น
6.เสริมความ การอาศัยมูลเดิม เรื่องจริงมีนิดเดียว แต่เสริมเติมแต่งขยายความ
เช่นการโฆษณาเกินความจริง
7.อำความเรื่องใหญ่ แต่พูดตัดความให้เป็นเรื่องเล็ก
ปิดบังในส่วนที่ควรบอกหรือรู้แต่ไม่รายงานให้เจ้าหน้าที่ทราบ
การพูดส่อเสียด(ปิสุณวาจา) คือ พูดแล้วทำให้เขาเสื่อมจากเกรียติยศชื่อเสียง การนำเรื่องเสื่อมเสียของคนหนึ่งไปบอกคนหนึ่ง การพูดยุยงให้คนเขาแตกกัน ทำได้ทั้งทางวาจา ทางกาย เช่น เขียนข่าวยุแหย่ให้คนเขาเสื่อมเสีย ให้คนรักกัน เกลียดกันขึ้นมาได้ การพูดกระทบกระแทกแดกดัน ให้ผู้อื่นเจ็บใจ ให้เขาเสียใจ
การพูดคำหยาบ(ผรุสวาท) ได้แก่ การด่า การแช่ง ด้วยวาจาหรือทางกาย(การเขียนด่า การทำท่าทาง) ด้วยอาการโกรธเคือง ด้วยใจร้อนรุ่ม ทำเพราะโกรธเคือง เป็นคำที่ฟังแล้วไม่สบายใจ รู้สึกเจ็บแค้น คำหยาบ คำด่านั้นแม้ว่าคนถูกด่าจะอยู่ต่อหน้า ลับหลัง หรือแม้กระทั่งตายไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นการอกุศลกรรมบท แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ไม่ได้ถือเป็นบาปที่ฉุดคร่าผู้กล่าวให้ไปสู่อบายได้เช่นกัน
การพูดเพ้อเจ้อ(สัมผัปปลาปะ) คือ คนที่พูดเก่งคุยสนุก แสดงออกอย่างสนุกสนาน ทว่าการพูดนั้นไม่มีสาระแก่นสารในการเป็นคุณผู้อื่นและสังคม ฟังแล้วสนุกแต่ปนด้วยโมหะ หมดเวลาเป็นวันๆ เสียเวลาไปเปล่า คำพูดที่ฟังแล้วสนุกสนาน ที่มัน ที่สะใจในอารมณ์ มักมีการพูดล้อเล่นล้อเลียนผู้อื่นปนอยู่เสมอ เป็นการพูดทำลายประโยชน์ หรือการเล่าเรื่องหนัง นิยาย การแสดงตลก เขียนเรื่องอ่านเล่นที่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไม่ก่อประโยชน์ให้ผู้ดู ผู้ฟังผู้อ่าน
ทว่าการพูดเหลวไหล ไม่จัดเป็นมุสาวาทเพราะผู้พูดไม่ได้เจตนาจะโกหก ทว่าหากมีความตั้งใจจะมุสาปนอยู่ด้วย และผู้ฟังก็หลงเชื่อ ก็มีผลทำให้ไปเกิดในอบาย แต่ถึงอย่างไรแม้จะล้อเล่น แต่ยังมีวิบากกรรม ทำให้เกิดใช้กรรมในการล้อเลียน
เมื่อเรารู้ถึงลักษณะที่ควรงดเว้นในศีลข้อนี้แล้ว เราก็มาดูว่า ครงองค์ประกอบของการผิดศีลหรือไม่
องค์ประกอบการผิดศีลข้อ 4
1.เรื่องที่นำมาแสดงนั้นเป็นเรื่องไม่จริง(เข้าลักษณะ1-7ข้างต้น)
2.มีจิตคิดจะพูดเท็จ
3.กระทำการพูดเท็จ หรือ แสดงอาการทางกายทำให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย
4.ผู้รับสารเชื่อฟังตามเนื้อหาอันเป็นเท็จนั้น
หากครบทั้ง4ข้อ ก็ถือว่าผิดศีลขาดทันที แต่ในส่วนของกรณีพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยู่ในอนุโลมมุสา ทำให้ศีลด่างพร้อย
ต่อมาเรามาดูเรื่องโทษของเรื่องนี้กัน
แน่นอนว่าจะมากน้อยนั้นขึ้นอยู่แต่ละกรณี เรามาดูหลักเกณฑ์กัน
1.ความเสียหายเกิดขึ้น
2.เจตนาจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย
3.คุณธรรมของผู้เสียหาย
กล่าวคือ ถ้าเกิดความเสียหายมากผิดมาก มีเจตนา มีความพยายามมากน้อยเพียงไร คุณธรรมของผู้เสียหายมากก็ผิดมาก เช่นผู้ทรงศีล เป็นต้น
อนุโลมมุสา
ทำให้ศีลด่างพล้อย เรื่องที่กล่าวไม่เป็นความจริง แต่ไม่ได้ต้องการให้ผ฿ฟังเข้าใจผิด
1.พูดเสียดแทง กระทบกระแทกแดกดัน พูดให้ผู้อื่นเจ็บใจ
2.พูดประชด ยกให้เกินความจริง
3.พูดด่า กดให้ต่ำกว่าคงวามเป็นจริง
4.พูดสับปลับ แต่ไม่ตั้งใจให้เข้าใจผิด
5.พูดคำหยาบ ต่ำทราม
6.พูดคะนองวาจา
ส่วนส่วนอีกอย่าง แรกคิดจะทำตามรับปาก แต่ตอนหลังไม่ทำ เรียกว่า ปฏิสสวะ รับแล้วไม่ทำ ผลทำให้เสียชื่อเสียง
1.ผิดสัญญา สองฝ่ายสัญยาว่าจะทำเช่นนั้น
2.เสียสัตย์ คือให้สัตย์ฝ่ายเดียวว่าตนเองจะทำเช่นนี้ แต่ไม่ทำ
3.คืนคำ โดยรับปากว่าจะทำ โดยมีสัญญาว่าตนจะทำ ภายหลังไม่ได้ทำ
ยถาสัญญา
พูดตามที่ได้ยินได้ฟังมาหรือเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง
1 โวหาร พูดตามสำนวนโลก เช่นคำลงท้ายจดหมาย ด้วยความเข้ารบอย่างสูง
2.นิยาย ลิเก ละคร แม้ไม่จริง แต่ไม่เป็นมุสาวาท
3.สำคัญผิด พูดด้วยเข้าใจว่าถูกต้อง ทั้งๆที่เรื่องนั้นไม่จริงเช่นจำวันผิด
4.พลั้ง พูดพลั้งเผลอโดยไม่ได้ตั้งใจให้ผิดพลาด
ผู้ที่ผิดศีลข้อ4 บ่อยๆ เริ่มจากมหานรกขุม 4 โรรุวมหานรก
โรรุวมหานรก หมายถึง มหานรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องระงมครวญครางอย่างน่าเวทนา
นรกขุมนี้ เป็นนรกขุมที่ 4 อยู่ถัดลงมาจากสังฆาฏมหานรก
มีขนาดใหญ่กว่าสังฆาฏมหานรก ชีวิตในโรรุวมหานรก
สัตว์นรกขุมนี้ต้องรับทุกขเวทนาในดอกบัวเหล็ก โดยวิธีที่แปลกประหลาด คือ
ต้องนอนคว่ำหน้าอยู่กลางดอกบัวเหล็กอันโตใหญ่ ศีรษะมิดเข้าไปในดอกบัวแค่คาง
ปลายเท้าจมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อเท้า มือทั้งสองข้าง
ก็กางจมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อมือ
นอนคว่ำหน้าอยู่ด้วยอาการพิลึกพิกลเช่นนั้น เปลวไฟก็ปรากฏขึ้น
เผาไหม้ดอกบัวเหล็กพร้อมกับสัตว์นรกเหล่านั้น เปลวไฟแลบเข้าหูซ้ายออกหูขวา
แลบเข้าหูขวาออกหูซ้าย เข้าปาก ตา จมูก
สัตว์นรกได้แต่ร้องครวญครางเสียงสนั่นหวั่นไหวอื้ออึง จะตายก็ไม่ตาย
มีกายลำบากอย่างแสนสาหัส ต้องทนทุกขเวทนาอยู่อย่างนี้
จนกว่าจะถึงอายุขัยตายไปจากนรกขุมนี้ เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบ พูดโกหก พูดคำหยาบ
พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ มีวจีกรรมชั่วหยาบเป็นส่วนมาก
โดยมีอายุขัยของโรรุวมหานรกเท่ากับ 4,000 ปีนรก
วันหนึ่งคืนหนึ่งในมหานรกขุมนี้ เมื่อเทียบกับเวลาในมนุษยโลกแล้ว เท่ากับ 576
ล้านปีของมนุษยโลก ถ้า 4,000 ปีนรก
ก็เท่ากับ 829,440,000 ล้านปีในเมืองมนุษย์(www.dmc.tv) พอหมดกรรมก็ไปสู่อสุทนารก
มหานรกขุม 4 ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก dmc.tv |
อสุทนารก นรกที่เป็นขุมบริวาร
เราเรียกลักษณะของอุสสทนรกว่า ขุมเช่นเดียวกับมหานรก อุสสทนรกมีขนาดเล็กกว่ามหานรก และ
การทัณฑ์ทรมานก็เบาบางกว่า มีความทุกข์น้อยกว่า
ไฟนรกก็ร้อนแรงน้อยกว่ามหานรก และยังพอมีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานบ้างเล็กน้อย (www.dmc.tv)
ผลกรรม แวกว่ายในน้ำครูดกรด
เมื่อว่ายถึงอีกฝั่ง เจอนกอีกาปากเหล็ก ก็โทษถ่ายกด ตายเกิดวนเวียนอีกยาวนาน
เมื่อหมดกรรมก็ไปสู่ยมโลก
ยมโลก ยมโลกมีความพิเศษที่หลากหลายกว่ามหานรกและอุสสทนรก
เพราะเป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรก และลงโทษสัตว์นรกที่มาจากมหานรก
ผ่านอุสสทนรกมายังยมโลก
นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ตัดสินบุญบาปของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์
ที่มีลักษณะของใจที่ไม่หมองไม่ใสอีกด้วย เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งไปตามภพภูมิต่างๆ
เช่น ไปเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์ เป็นต้น
ซึ่งขึ้นอยู่กับกุศลกรรมและอกุศลกรรมของกายละเอียดเหล่านั้น
ยมโลกทำหน้าที่คล้ายกับศาลในเมืองมนุษย์ เราอาจจะถือว่ายมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับภูมิอื่นๆ ก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากมหานรก และรองรับกายละเอียดที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ดังกล่าว ยมโลกมีรายละเอียดมากกว่ามหานรกและอุสสทนรก
ยมโลกทำหน้าที่คล้ายกับศาลในเมืองมนุษย์ เราอาจจะถือว่ายมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับภูมิอื่นๆ ก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากมหานรก และรองรับกายละเอียดที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ดังกล่าว ยมโลกมีรายละเอียดมากกว่ามหานรกและอุสสทนรก
มโลก ของผู้มีจิตไม่หมองไม่ใส(www.dmc.tv)
ผลกรรม ถูกโยนในบ่อครูดกรดร้อน ถ้าหนีใช้หอกแทงเมื่อหนี
หากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์โกหกบิดเบียนไว้ ก็จะมีร่างกายบิดเบี้ยวออกมา เมื่อ
หมดกรรม ก็ไปเกิดเป็น แมลงที่อาศัยอยู่ในกองคูด อยู่ในถังส้วม เป็นหนอน แมลงสาบ
เป็นสัตว์ที่กินครูด เป็นสนุขขี้เรื้อนด้วยวิบากกรรมที่ทำให้เขาร้อนรน เมื่อมาเป็นมนุษย์ ฟันจะเหยิน ฟันเก ถูกใส่ร้าย ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
ฝากเรื่องอีกประเด็นหนึ่งเพราะเราอยู่ในโลกของโซเซียล โลกอินเตอร์เน็ต การเขียน การพิมพ์หากเป็นเรื่องไม่จริง ทำให้เขาเสื่อมเสียก็ทำให้ผิดศีลเช่นกัน หรือแม้แต่การไปแสดงความเห็น ใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ล่วงเกินผู้อื่น ที่สำคัญมันไปอย่างรวดเร็วกว้างขวาง มีคนแชร์เยอะแยะ มันยิ่งกว่าสมัยก่อน ที่พูดเพียงสิ่งเดียวคนรับข่าวสารน้อย แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้คนรู้กว้างขึ้น เร็วขึ้น ผลที่ตามมาก็มากขึ้นด้วย อินเตอร์เน็ตมีคุณมาก แต่ก็มีโทษมากเช่นกันหากนำไปใช้ในทางที่ผิด...
ฝากไว้ด้วยนะคะ หากข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณที่นี้ด้วยนะคะ
Q: โกหกเพื่อความสบายใจ ผิดหรือไม่?
คำตอบคือ ผิดค่ะ เพราะเป็นคำที่ไม่จริง แต่พูดออกมา โกหกก็คือโกหก มันผิดอยู่แล้ว คนที่ชอบอ้างว่าเพื่อความสบายของอีกฝ่ายนั้นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งตนเองไม่สามารถจัดการชีวิตของตนได้อย่างถูกต้องและรอบคอบ จึงต้องโกหก ปกติแล้วคนเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปโกหกใคร แต่ที่ต้องโกหกเพราะมีเรื่องที่ไม่ถูกต้องแอบแฝงอยู่แน่ๆ
Q: แล้วเราควรจะพูดอย่างไรล่ะ ไม่ให้ผิดศีลและเป็นการพูดที่ถูกต้อง?
คนพูดเป็น คือคนที่คิดให้รอบคอบ มีสติก่อนพูด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักไว้ 5 ประการ
1.พูดด้วยจิตเมตตา ก่อนจะพูดให้นึกเสียก่อนว่าเราปราถนาดีต่อคนฟังหรือไม่ ถ้าร้ายก็อย่าพูด
2.พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ แม้มีความปราถนาดี แต่พูดไปแล้วถ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อคนฟังก็อย่าพูด อาจจะเป็นการพูดเพ้อเจ้อได้
3.พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ถึงแม้ว่าจะเป็นประโยชน์แต่ถ้าเต็มไปด้วยคำหยาบคาย ก็ไม่มีใครอยากฟัง ไม่มีใครอยากทำตาม ฉะนั้นพูดสิ่งที่ไพเราะดีกว่า
4.พูดความจริง
5.พูดถูกกาลเทศะ ก่อนพูดต้องดูกาลเทศะให้ดี เพราะหากไม่ถูกจังหวะอาจโดนเกลียดชัง หรืออาจตายได้เช่น เตือนคนต่อหน้าธารกำนัล(ฉีกหน้ากันชัดๆ)
การพูดไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร นิ่งเสียดีกว่า....
สุดท้ายขอบคุณทุกข้อมูลที่เราได้ค้นคว้า ถ้าผิดพลาดประการใดก็ให้อภัยกันนะคะ แล้วเจอกัน กับศีลข้อ1 อาทิตย์หน้าค่ะ...
Q: โกหกเพื่อความสบายใจ ผิดหรือไม่?
คำตอบคือ ผิดค่ะ เพราะเป็นคำที่ไม่จริง แต่พูดออกมา โกหกก็คือโกหก มันผิดอยู่แล้ว คนที่ชอบอ้างว่าเพื่อความสบายของอีกฝ่ายนั้นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งตนเองไม่สามารถจัดการชีวิตของตนได้อย่างถูกต้องและรอบคอบ จึงต้องโกหก ปกติแล้วคนเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปโกหกใคร แต่ที่ต้องโกหกเพราะมีเรื่องที่ไม่ถูกต้องแอบแฝงอยู่แน่ๆ
Q: แล้วเราควรจะพูดอย่างไรล่ะ ไม่ให้ผิดศีลและเป็นการพูดที่ถูกต้อง?
คนพูดเป็น คือคนที่คิดให้รอบคอบ มีสติก่อนพูด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักไว้ 5 ประการ
1.พูดด้วยจิตเมตตา ก่อนจะพูดให้นึกเสียก่อนว่าเราปราถนาดีต่อคนฟังหรือไม่ ถ้าร้ายก็อย่าพูด
2.พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ แม้มีความปราถนาดี แต่พูดไปแล้วถ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อคนฟังก็อย่าพูด อาจจะเป็นการพูดเพ้อเจ้อได้
3.พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ถึงแม้ว่าจะเป็นประโยชน์แต่ถ้าเต็มไปด้วยคำหยาบคาย ก็ไม่มีใครอยากฟัง ไม่มีใครอยากทำตาม ฉะนั้นพูดสิ่งที่ไพเราะดีกว่า
4.พูดความจริง
5.พูดถูกกาลเทศะ ก่อนพูดต้องดูกาลเทศะให้ดี เพราะหากไม่ถูกจังหวะอาจโดนเกลียดชัง หรืออาจตายได้เช่น เตือนคนต่อหน้าธารกำนัล(ฉีกหน้ากันชัดๆ)
การพูดไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร นิ่งเสียดีกว่า....
สุดท้ายขอบคุณทุกข้อมูลที่เราได้ค้นคว้า ถ้าผิดพลาดประการใดก็ให้อภัยกันนะคะ แล้วเจอกัน กับศีลข้อ1 อาทิตย์หน้าค่ะ...
อ้างอิง https://www.youtube.com/watch?v=hotVKYVPDm0
https://www.youtube.com/watch?v=q0Z6PHueSUY
พระภาวนาวิริยคุณ.หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา
www.dmc.tv
www.dmc.tv
21.00น.
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559
วัดผลจากการถือศีล8 มา 5 วัน
"เมื่อใจเราคิดจะปฏิบัติธรรม ลงมือทำ แม้มันจะใช้เวลาน้อย แต่ก็ถือว่าได้บุญ
เราถือว่าเรากำลังเดินเข้าใกล้พระธรรม เรากำลังเดินไปถูกทางแล้ว เพียงแค่อดทนและฝึกตนต่อไป อาจจะต้องนั่งพักบ้างหรือเจ็บป่วยบ้าง แต่เราก็ถือว่าโชคดีที่เรามาถูกทาง มองเห็นแสงแห่งความสุข แม้จะอยู่ไกลๆเราก็ต้องดีใจ เพราะเราไม่ได้หลงทางไปในทางอื่น
ที่แม้เดินให้ตายก็ไม่มีวันได้สัมผัสแสงสว่างนั้น"
31/10/59
20.27
วันนี้เป็นวันแรกที่ถือศีลห้าหลังจากลาศีล8 ไปแล้วเมื่อวาน ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ความที่เรายังเป็นคนมีกิเลสอยู่ พอออกจากศีล8มาได้ ก็เข้าหาโลกโซเซียล สื่อบันเทิงต่างๆ แทบไม่ได้พักสายตา ผลที่ตามมา คือ ปวดหัวมาก แต่ศีล 5 ยังถือปฏิบัติได้ดี เพราะตอนที่ถือศีล8 ได้ดูวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องศีลนี่แหละ เรื่องข้อปานาติปาทา...ก็เลยได้แง่คิดหลายๆเรื่องตามมาด้วย
คนที่มักจะกล่าวว่า "การปฏิบัติธรรม การถือศีลนั้น อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ขอให้เราเป็นคนดี อยู่บ้านก็ทำได้ ไม่ต้องไปบวช ไปปฏิบัติธรรมหรอก ทำที่บ้านก็ได้" ท่านไม่เห็นด้วย เราก็ว่าจริงวัดจากตัวเราเองนี่แหละ
"เราอยู่บ้านศีลเราขาดไม่รู้กี่ข้อ" ท่านยกตัวอย่างเรื่องมด
"แม้แต่มดตัวเล็กๆที่เราไม่คิดอะไรมาก เราฆ่าเขาเราก็บาป แต่ก็อาจจะน้อยหน่อย แต่นั่นก็ถือว่าฆ่า" อันนี้จริง เราอยู่บ้านบางทีเราอาจจะเผลอเช็ดนั่นนี่ ไปโดนมดตัวเล็กๆตายก็ได้ หรืออาจจะเผลอเหยียบ ไม่แน่อยู่เราอาจจะมีอะไรหล่นไส่หัวเราก็ได้นะ (5555)ก็กรรมเป็นเรื่องของเหตุและผลนี่นะ มันสมเหตุสมผลดีอยู่แล้ว(5555)
ขยายความต่อ เราถือศีลอยู่ที่บ้าน มีเรื่องกวนใจที่ทำให้เราเผลอผิดศีลได้ง่ายๆ เดินไปทางไหน ก็ได้ยินเสียงเพลง จะนั่งสมาธิ เสียงวิทยุ เสียงทีวีก็แว่วเข้ามาให้ได้ยิน (ไม่เหมือนวัด หรือสถานที่สงบๆที่เขาตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรม นั่นเงียบสงบ ไม่มีทีวี เสียงรถก็ไม่มีเหมือนในเมือง) ไปทำกับข้าว การดำเนินชีวิตในหนึ่งวัน ก็อาจจะเผลอเก็บกวาดมด แมลงไปบ้าง
ยกตัวอย่าง มีครั้งหนึ่งเรากำลังจะเทน้ำร้อนลงไปในอ่างน้ำ แต่ก็ยั้งมือเพราะคิดขึ้นมาได้ว่า ในท่อนั้นคงมีพวกแมลงสาบ หรืออาจจะเป็นหนูก็ได้ ถ้าเราเทลงไปโดนมันเข้า มันคงปวดแสบปวดร้อน หรืออาจจะถึงตายก็ได้ เกือบแล้วอีกนิดเดียว ในใจก็คิดว่าถ้าเราทำเฉยแล้วไม่ใส่ใจ เปิดน้ำก๊อกเพื่อไปผสมกับน้ำร้อนๆนั้นให้เย็นลงก่อนเท เท่ากับว่าเราจงใจ ผิดเต็มๆเลยทีนี้ กันไว้ดีกว่าแก้จึงปล่อยเฉยไปไม่ได้
หรืออีกอย่าง เรากำลังจะปิดประตูห้องน้ำ แต่ตาไปเห็นลูกจิ้งจก มันไปอยู่ตรงประตูพอดี คือถ้าไม่ดูให้ดี มันคงตายเพราะโดนประตูหนีบแน่ๆ เราจึงเอาไม้เขี่ยให้มันไปพ้นๆทาง นี่แหละ หรือแม้แต่เรื่องการพูดการจา ก็สำรวมได้ยาก เพราะเราไม่ได้อยู่กับคนที่ถือศีลเหมือนเรา เขาก็เลยเผลอพูดทำร้ายจิตใจเรา เราก็ตอกกลับ มาคิดอีกทีก็รู้สึกผิด เพราะกำลังถือศีลอยู่(เรื่องนี้เราก็ว่าแปลก เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ ตอนที่เราสัญญากับตนเองว่าจะถือศีล 8 ความรู้สึกของเราคือ เราจะต้องเคร่งครัดทุกข้อ ตั้งแต่ 1- 8 แต่ในยามที่เราออกจากศีล 8 เราเริ่มปล่อยปละละเลย หวนกลับเข้าสู่ชาวพุทธ ผู้ถือศีล5จอมปลอม...หรือว่าศีลข้อที่6-8 เป็นตัวช่วยให้เรารักษาศีลได้ดีขึ้น...อันนี้คือข้อสังเกตของเรา)
เอาล่ะ เรามาว่ากันต่อ ในศีล 5 ข้อ เราว่าข้อ4 นี่ยากที่สุดสำหรับเรา โดยนิสัยของเรา
1.เราไม่นิยมการฆ่า
2.เราไม่ลักขโมย(ข้อนี้ก็ลึก...อาจจะผิดแบบไม่รู้ตัวกันเยอะ)
3.เราไม่ประพฤติผิดในกาม
4......
5.เราไม่ดื่มสุรา
แต่ศีลข้อ4 เราไม่นิยมการโกหกนะ แต่ไม่ใช่ว่าไม่โกหกแล้วจะถือว่าศีลบริสุทธิ์ ศีลข้อ4 ยังมีอีกหลายอย่าง เราว่ามันตัดสินยาก นอกจากจะต้องไม่พูดปดแล้ว ยังรวมถึง ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย และไม่พูดเพ้อเจ้อ
ถือเป็นเรื่องที่ทำยาก ไม่พูดหยาบนี่โอเค ไม่พูดส่อเสียดนี่ยังมี เพ้อเจ้อนี่ก็มี นี่แหละ หากใจเราไม่ตระหนักว่าเรา ครองตนอยู่ในฐานะไหน (อ่อๆๆหรือว่า ศีลจะเป็นตัวชี้วัดว่าเราคือมนุษย์ เพราะถ้าคนไหนไม่มีศีลแล้วละก็ เราก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่ทำตามสัญชาตญาณ...เรื่องนี่ต้องคุยอีกยาว เราะระหว่างที่พิมพ์อยู่นี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมา เป็นข้อสังเกตเยอะแยะ...) นี่เราถือศีลอยู่นะ หรือถ้าเป็นชายถ้าไม่บวช สิ่งเหล่านี่ก็จะวนเวียนเป็นชีวิตประจำวันของเรา แล้วเราจะกล่าวว่า เราบวชที่บ้านได้อย่างไร แต่ถ้าจะทำให้ได้ คนนั้นต้องมีจิตใจมุ่งมั่นอย่างแรกกล้าที่จะทำ คนรอบข้างของเขาก็ต้องทำ คือต้องดีๆทั้งหมด ที่ทำงาน สภาพแวดล้อมซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ (เช่น สมมุติเราขับรถ แล้วมีคนมาชนเรา เขาด่าเรา เราก็เริ่มหงุดหงิด แต่ก็พยายามระงับ แต่ในใจก็ต้องเก็บไปคิดเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่เข้มแข็งพอ หรือเข้าใจนิสัยของคน เราก็จะหลงเข้าไปพัวพันได้ง่าย และหามันมากเข้า มากเข้า เราก็หลุด นี่คือชีวิตของผู้ครองเรือน
ในความเห็นของเราคิดว่า ถ้าอยากตัดกิเลส อยากเรียนรู้พระธรรมของพระพุทธเจ้าหรือจะไปนิพพาน คุณต้องบวช ต้องเข้าไปปฏิบัติ เลิกยุ่งกับทางโลก นั่นแหละถึงจะได้ผล ถึงจะดี แต่เมื่อบวชไม่ได้ก็ต้องฝึกๆๆๆๆๆให้เป็นนิสัย นั่งสมาธิให้ใจใสๆ ใจเย็น ศึกษาพระธรรมคำสอน นั่นแหละถึงจะประคองชีวิตของผู้ครองเรือนให้อยู่ในศีลในธรรมได้
พูดถึงเรื่องศีล เราเห็นว่าข้อนี้น่าสนใจ เราจะลองศึกษาให้ลึกลงกว่านี้แล้วมาเขียนเล่าให้อ่าน เป็นข้อเลยดีกว่า เผื่อจะใช้เป็นตัวชี้วัดไปเลยว่า ทำอย่างนี้ผิด ทำอย่างนี้ไม่ผิด ศีลขาด ศีลด่างพล้อยเป็นอย่างไร โทษของมันเป็นอย่างไร ทั้งทางโลก(กฎหมาย) และทางธรรมเป็นอย่างไร เอาให้ลึกเอาให้จริงกันเลยดีกว่า เห็นว่าคงดีกับทั้งตัวเราเอง และคนที่จับพลัดจับพลูเข้ามาอ่านเรื่องราวของเรา
กำหนดส่งงาน สัปดาห์ละข้อแล้วกัน เพื่อรวบรวมข้อมูล ขอเริ่มจาก ศีลข้อ4 ก่อนแล้วกัน ด้วยความอยากรู้ ฉันทะเกิดเลยตอนนี้ เพื่อนที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่าน ถ้าอยากถามเรื่องอะไรก็แสดงความคิดเห็นกันเข้ามาได้เลยนะคะ เดี๋ยวเราจะไปหาคำตอบมาให้เอาให้ทุกแนวทาง ทุกแขนง ทุกศาสตร์เลย เอาเต็มที่ที่สุดเลยว่างี้ เอาเป็นว่าวันจันทร์ที่7/11/59 เรามาเจอกันกับเรื่องศีล ข้อ4 ทั้งเรื่องความหมาย เรื่ององค์ประกอบแห่งศีล เรื่องผิดไม่ผิด ...เป็นต้น
ความดีของเพื่อน วันนี้ขอเป็นการจับดี การชื่นชมคนๆหนึ่งก็แล้วกัน นั่นคือลุง เราสังเกตเห็นว่าท่านเป็นคนที่เอาจริงๆเอาจังกับเรื่องที่สนใจเป็นอย่างมาก แล้วก็จะทุ่มเวลา ทำกับเรื่องนั้นๆจนบางทีตัดโลกภายนอกออกไป เราคิดว่า ถ้าเราทำได้อย่างนั้้น รักที่จะทำสิ่งใด เริ่มต้นกับสิ่งใดก็อยากจะทุ่มเท กาย ใจ เวลาแสวงหาแนวทางเพื่อให้มันสำเร็จให้ได้ เราจะเป็นอย่างนั้นให้ได้ สำหรับวันนี้ หลับในอู่ทะเลธรรมดีกว่าเรา...
22.18น.
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559
เรียนรู้ใหม่กับของเล่นใหม่
โลกนี้มีเรื่องราวมากมายให้เราได้เรียนรู้ไม่สิ้นสุดจริงๆ
30/10/59
18.04น.
วันนี้เป็นวันที่เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆตื่นเต้นมากกว่าเจ้าของอีกนั่นคือ เจ้าสิ่งนี้ ตามลำดับเลยค่ะ
ดอกกุหลาบดอกแรก |
ชินมินเอ ดาราในดวงใจ |
ภาพต้นไม้ เป็นภาพที่ภูมิใจสุดๆ |
เรายังไม่เก่งขนาดที่วาดเองเลย จึงใช้ภาพถ่ายที่มีเป็นแบ็ค แล้วเราก็ร่างทับ ให้มันออกมาเป็นภาพการ์ตูน เราก็ว่ามันสวยนะ สวยป่ะไม่รู้ในมุมมองคนอื่น แต่ต้องพัฒนาอีกเยอะสู้ๆ
วันนี้วันพระ เราก็มัวแต่เห่อของเล่นใหม่ ไปและไปสวดมนตร์ไหว้พระ ขอให้มีความสุขตลอดปี ตลอดไป
18.13น.
วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559
อานิสงส์การสวดธัมจักกัปปวัตตนสูตร
บทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
เป็นปฐมเทศนาเป็นพระสูตร สูตรแรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงให้กับปัญจวัคคีย์ทั้ง5 จนกระทั่งพระโกณฑัญญะท่านได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน และก็ขอบวชเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา ทำให้พระรัตนตรัยครบสาม
บทนี้สำคัญ ตามธรรมเนียมไทยแต่โบราณจะนิยมสวดในวันคล้ายวันเกิด พระจะเจริญพระพุทธมนตร์บทนี้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าพระรัตนตรัยครบสาม ฉะนั้นเป็นบทที่มีสิริมงคล
เนื้อหาเป็นการกล่าวถึงว่าทางที่สุดโต่งสองสายคือ
1.แบบหย่อนเกินไป เรียกว่า "กามสุขัลลิกานุโยค" คือเพลิดเพลินในเบญจกามคุณทั้ง5 อันนั้นไม่ถูก
2.แบบการทรมานตนเอง เรียกว่า"อัตตกิลมถานุโยค" ก็ไม่ถูก ต้องเดินตามเส้นทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา นั้นก็คือเส้นทางของอริยมรรค มีองค์ 8นั่นเอง
ทำให้ใจเราสงบและเป็นการระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็จะทำให้บุญมาหล่อเลี้ยงใจเรา เมื่อใจของเรามีบุญหล่อเลี้ยงก็จะดึงดูดเอาเรื่องดีดี สิ่งดีๆ แล้วคนดีๆเข้ามาหาเราเอง ทำให้ตัวของเราเอง ทำอะไรก็เฮง โชคดี แล้วก็มีความสุขความสำเร็จทั้งในชาตินี้และชาติหน้าตลอดไป (ถอดความจากรายการธรรมจับใจ โดยพระมาหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
เราอยากรู้คำแปลเลยไปหาลิงค์มา http://www.dmc.tv/pages/praying/Dhammajak.html เผื่อไว้อ่าน
ความดีของผู้อื่นวันนี้ มีคนช่วยเราเปิดประตู ซึ่งมันทั้งหนักทั้งฝืด อาแบช่วยเราไว้อีกแล้ว...ขอบคุณค่ะ วันนี้เหนื่อยมากนั่งทำงานแต่ก็เสร็จจนได้ เหลือส่งงาน วันนี้ต้องหลับในอู่ทะเลบุญแน่ๆ สาธุๆ
22.19น.
วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559
สัมมา อะระหัง ด้วยลูกประคำดิจิตอล
"ศีล เป็นทางมาแห่งสมาธิ
สมาธิเป็นทางมาแห่งปัญญา"
27/10/59
21.22น.
วันนี้เป็นวันแห่งการวัดผล ถือว่าดีมากๆวันหนึ่งหลังจากที่ตั้งมั่นว่าจะรักษาศีล8 ได้สวดมนตร์นั่งสมาธิเช้าเย็นทุกวัน
ขณะที่เขียนนี้เพิ่งทำวัตรเย็น แถมด้วยบทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเคยสวดเป็นครั้งแรก ยังไม่คล่องเท่าไหร่ เดี๋ยวพรุ่งนี้สวดอีก
เล่าถึงวันนี้ทั้งวัน เมื่อใจเราเริ่มสำรวจว่าเรารักษาศีลอยู่นะดูเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น เราจะระวังมากขึ้น ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่พูดจากระทบกระทั่งใคร ทำในสิ่งที่ควรทำ ศึกษาหาความรู้ทั้งเรื่องงานซึ่งเป็นการเริ่มต้นงานที่คั่งค้างให้สำเร็จ และเรื่องธรรมะ มีโอกาสรู้เรื่องอานุภาพของคำภาวนาสัมมาอะระหังนั้นมากมายนัก เริ่มจากสภาพใจที่นิ่งอยู่ในสมาธิ และอานุภาพที่ช่วยให้สมปราถนา ค้าขายดีขึ้น เราก็ว่าลองบ้าง หลังจากที่ก็พอรู้มาบ้าง แต่ไม่ได้ลองทำจริงจัง คนที่ทำอย่างจริงจัง เขามีลูกประคำไว้คอยนับ เราก็เลยสนใจ ลองค้นอยากลองทำดูบ้าง
ลูกประคำดิจิตอล(finger counter) |
จนไปเจอเว็ปไซต์หนึ่ง ชื่อ http://store.dmc.tv/index.php?route=common/home เป็นเว็ปที่ขายเจ้าลูกประคำดิจิตอล หน้าตาเหมือนทามาก๊อตจิ เลยอยากลองซื้อมาใช้บ้าง และที่สำคัญอัศจรรย์ในเว็ปนี้มีหนังสือธรรมะที่เคยนึกอยากหามาอ่าน แต่ตามตลาดทั่วไปไม่มี ดีใจมากๆ ได้แต่สาธุๆๆในใจ ถ้าได้มาแล้วจะมารายงานผลการปฏิบัตินะ
เรื่องความฝันเราขอไม่เล่าดีกว่า เรามาเล่ากันเรื่องความจริง เรื่องธรรม เรื่องข้อคิดที่ได้ประจำวันดีกว่า ความฝันนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่เราคิดขึ้นมาเอง มันฟุ้งซ่านเอง คงหาสาระไม่ได้ เรามาเอาความจริงกันดีกว่า
เรื่องความดีของเพื่อน ต้องยกความดีให้บุคคลที่พูดให้เราฟังเรื่องอานุภาพสัมมาอะระหัง ที่ทำให้เราได้รับแรงบันดาลใจ ขอบคุณแม่ที่ยังคงอยู่ข้างๆกัน ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกคนที่ช่วยบอกบุญ ที่ช่วยแชร์เรื่องดีๆให้เราได้อนุโมทนาบุญ ขอบคุณคนที่ให้การศึกษา ขอบคุณทุกๆอย่าง ขอบคุณเสียงปลุกของหลวงพ่อทัตตะชีโว ที่ปลุกเรามาทำวัตรสวดมนตร์แต่เช้า ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณๆๆๆๆ
ธรรมะประจำวันที่โดนใจสุดๆคือ เป็นคำพูดของหลวงปู่สด (พระมงคลเทพมุนี) จากหนังสือวาทะธรรม
ตอนหนึ่ง เรื่องคนฉลาด
"การเรียนวิชาใดใด เราต้องใช้วิชานั้นๆได้นะ ถ้าเรียนแล้วใช้วิชานั้นๆไม่ได้ จะเรียนทำไมเสียเวลาเปล่า เสียข้าวสุก จะเรียนวิชาไหน ต้องใช้วิชานั้นได้ ต้องพึ่งได้ เอาวิชานั้นใช้ได้ ...เราต้องเรียนจริงทำจริง...ให้ศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว ครูใช้ได้อย่างไร เราก็ต้องได้เหมือนครู อย่างนี้เรียกว่า คนมีปัญญา เรียกว่าคนฉลาด"
เราอ่านแล้วก็ตรงใจ ท่านสอนเราในทางธรรม แต่ก็สามารถนำมาใช้เปรียบเทียบกับการเรียนทางโลก ยอมรับว่าสะอึกอยู่เหมือนกัน
เราเรียนหนังสือกันมากี่ปี กี่วิชา กี่เรื่องกี่ราว เราเคยเรียนจริงหรือไม่ รู้ลึกรู้จริงหรือไม่ เรียนแล้วนำไปปฏิบัติได้หรือไม่ แล้วรู้จริงได้ดั่งครูหรือไม่ คำตอบที่เราให้กับตัวเองคือ ไม่เลย!!!
หลับในอู่ทะเลบุญนะคะ
21.46น.
วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ถือศีล8
วันนี้เป็นวันดี เป็นวันที่เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ
26/10/59
19.16น.
วันนี้ถือเอาวันเริ่มรักษาศีล8 เอาฤกษ์เอาชัย เราตั้งใจว่าจะถือศีล แล้วขอให้วันนี้เป็นวันเริ่มต้นให้เราเจอแต่สิ่งดีๆ และจิตใจก็เป็นไปด้วยดี
เริ่มตั้งแต่ตอนเช้า ตื่นนอน 4.30 น. สวดมนตร์+นั่งสมาธิ+ภารกิจส่วนตัว
ตอนเช้าไปส่งหลาน ใจอยู่ในศูนย์กลางกาย
กลับมาพักผ่อน+ทำงาน+ทานข้าวเที่ยง ช่วงบ่ายก็นั่งสมาธิ ประมาณ 1ชม.ครึ่ง รู้สึกนิ่งๆรู้สึกร่างกายจมอยู่ในความนิ่งมาก หลังจากออกจากสมาธิต้องอยู่ในท่านั้นสักพักจึงเคลื่อนไหวร่างกายได้ เป็นวันที่ดีทีเดียว โดยจะขอถือศีล8 จนถึงวันพระที่จะถึง 30/10/59 (5วัน)หลังจากนั้นก็จะถือศีล5 ตามเดิม และจะขอถือศีล 8 ทุกวันพระด้วย
เมื่อลูกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ขอให้ลูกได้ค้นพบดวงสว่าง มีดวงตาเห็นธรรม และขอให้ลูกมีงานที่ดีมีสัมอาชีวะ มีสมบัติอัศจรรย์ มีชื่อเสียงไว้สร้างบุญสร้างบารมี ขอให้เป็นคนคิดดีทำดี มีแต่คนดีๆเข้ามา ขอให้ผู้ใหญ่รักเมตตา คนพาลอย่าได้เข้าใกล้ ขอให้เป็นคนมีศีลรักศีล มีโอกาสได้ทำบุญ นั่งสมาธิ รักษาศีลจนตลอดชีวิต ละโลกไปก็ขอให้ไปเกิดในดุสิตบุรี ติดตามหลวงปู่หลวงพ่อคุณยาย สร้างบุญบารมี ตราบจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทิด
ผลการปฏิบัติธรรม แรกยังเกร่งอยู่สักพักก็ค่อยดีขึ้น แต่ตลอดเวลายังคงฟุ้ง ใจคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ยังหยุดใจให้นิ่งไม่ค่อยได้ ยังไม่หยุดดี แต่ก็พยายามประคองใจกลับเข้ามาใหม่ เริ่มใหม่ จนในที่สุดก็รู้สึกโล่ง อยู่ก็ยิ้มออกมาเมื่อถึงจุดหนึ่ง ตอนตั้งใจไม่รู้สึก แต่พอเริ่มปล่อยความรู้สึกนั้นกลับมาอีก แม้จะยังมืดแต่ก็จะพยายาม จะให้ไปเห็นเลยได้อย่างไร ในอดีตเรานั่งมามากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ จะต้องมีความเพียรจะต้องเห็นแน่นอน ดูคุณยายาอาจารย์เป็นตัวอย่างท่านนั่งสมาธิวันหนึ่งมากกว่าเราหลายสิบเท่า เรานั่งแค่วันละ 2ชั่วโมง เท่านั้น ยังคงต้องพยายามต่อไป สู้ๆใจสบายๆๆๆใสๆๆๆ
คติจากเรื่องการคิดฟุ้ง ใจเรามีนลอยไปไกลเพราะในแต่ละวันที่ผ่านมาเรามีเรื่องมากมาย ข่าวสารมากมาย ความกังวลต่างๆทางโลกทำให้เราหยุดนิ่งไม่ได้ มันคอยแต่จะเข้ามาตลอด หลังจากนี้การถือศีล8 จะทำให้เราเลิกฟุ้งได้ เพราะต้องตัดขาดจากข่าวสารบันเทิงทุกอย่าง ต้องสำรวมกาย วาจาใจ คราวนี้ผลการปฏิบัติธรรมคงก้าวหน้า สาธุๆๆ
19.38น.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)