"เมื่อใจเราคิดจะปฏิบัติธรรม ลงมือทำ แม้มันจะใช้เวลาน้อย แต่ก็ถือว่าได้บุญ
เราถือว่าเรากำลังเดินเข้าใกล้พระธรรม เรากำลังเดินไปถูกทางแล้ว เพียงแค่อดทนและฝึกตนต่อไป อาจจะต้องนั่งพักบ้างหรือเจ็บป่วยบ้าง แต่เราก็ถือว่าโชคดีที่เรามาถูกทาง มองเห็นแสงแห่งความสุข แม้จะอยู่ไกลๆเราก็ต้องดีใจ เพราะเราไม่ได้หลงทางไปในทางอื่น
ที่แม้เดินให้ตายก็ไม่มีวันได้สัมผัสแสงสว่างนั้น"
31/10/59
20.27
วันนี้เป็นวันแรกที่ถือศีลห้าหลังจากลาศีล8 ไปแล้วเมื่อวาน ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ความที่เรายังเป็นคนมีกิเลสอยู่ พอออกจากศีล8มาได้ ก็เข้าหาโลกโซเซียล สื่อบันเทิงต่างๆ แทบไม่ได้พักสายตา ผลที่ตามมา คือ ปวดหัวมาก แต่ศีล 5 ยังถือปฏิบัติได้ดี เพราะตอนที่ถือศีล8 ได้ดูวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องศีลนี่แหละ เรื่องข้อปานาติปาทา...ก็เลยได้แง่คิดหลายๆเรื่องตามมาด้วย
คนที่มักจะกล่าวว่า "การปฏิบัติธรรม การถือศีลนั้น อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ขอให้เราเป็นคนดี อยู่บ้านก็ทำได้ ไม่ต้องไปบวช ไปปฏิบัติธรรมหรอก ทำที่บ้านก็ได้" ท่านไม่เห็นด้วย เราก็ว่าจริงวัดจากตัวเราเองนี่แหละ
"เราอยู่บ้านศีลเราขาดไม่รู้กี่ข้อ" ท่านยกตัวอย่างเรื่องมด
"แม้แต่มดตัวเล็กๆที่เราไม่คิดอะไรมาก เราฆ่าเขาเราก็บาป แต่ก็อาจจะน้อยหน่อย แต่นั่นก็ถือว่าฆ่า" อันนี้จริง เราอยู่บ้านบางทีเราอาจจะเผลอเช็ดนั่นนี่ ไปโดนมดตัวเล็กๆตายก็ได้ หรืออาจจะเผลอเหยียบ ไม่แน่อยู่เราอาจจะมีอะไรหล่นไส่หัวเราก็ได้นะ (5555)ก็กรรมเป็นเรื่องของเหตุและผลนี่นะ มันสมเหตุสมผลดีอยู่แล้ว(5555)
ขยายความต่อ เราถือศีลอยู่ที่บ้าน มีเรื่องกวนใจที่ทำให้เราเผลอผิดศีลได้ง่ายๆ เดินไปทางไหน ก็ได้ยินเสียงเพลง จะนั่งสมาธิ เสียงวิทยุ เสียงทีวีก็แว่วเข้ามาให้ได้ยิน (ไม่เหมือนวัด หรือสถานที่สงบๆที่เขาตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรม นั่นเงียบสงบ ไม่มีทีวี เสียงรถก็ไม่มีเหมือนในเมือง) ไปทำกับข้าว การดำเนินชีวิตในหนึ่งวัน ก็อาจจะเผลอเก็บกวาดมด แมลงไปบ้าง
ยกตัวอย่าง มีครั้งหนึ่งเรากำลังจะเทน้ำร้อนลงไปในอ่างน้ำ แต่ก็ยั้งมือเพราะคิดขึ้นมาได้ว่า ในท่อนั้นคงมีพวกแมลงสาบ หรืออาจจะเป็นหนูก็ได้ ถ้าเราเทลงไปโดนมันเข้า มันคงปวดแสบปวดร้อน หรืออาจจะถึงตายก็ได้ เกือบแล้วอีกนิดเดียว ในใจก็คิดว่าถ้าเราทำเฉยแล้วไม่ใส่ใจ เปิดน้ำก๊อกเพื่อไปผสมกับน้ำร้อนๆนั้นให้เย็นลงก่อนเท เท่ากับว่าเราจงใจ ผิดเต็มๆเลยทีนี้ กันไว้ดีกว่าแก้จึงปล่อยเฉยไปไม่ได้
หรืออีกอย่าง เรากำลังจะปิดประตูห้องน้ำ แต่ตาไปเห็นลูกจิ้งจก มันไปอยู่ตรงประตูพอดี คือถ้าไม่ดูให้ดี มันคงตายเพราะโดนประตูหนีบแน่ๆ เราจึงเอาไม้เขี่ยให้มันไปพ้นๆทาง นี่แหละ หรือแม้แต่เรื่องการพูดการจา ก็สำรวมได้ยาก เพราะเราไม่ได้อยู่กับคนที่ถือศีลเหมือนเรา เขาก็เลยเผลอพูดทำร้ายจิตใจเรา เราก็ตอกกลับ มาคิดอีกทีก็รู้สึกผิด เพราะกำลังถือศีลอยู่(เรื่องนี้เราก็ว่าแปลก เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ ตอนที่เราสัญญากับตนเองว่าจะถือศีล 8 ความรู้สึกของเราคือ เราจะต้องเคร่งครัดทุกข้อ ตั้งแต่ 1- 8 แต่ในยามที่เราออกจากศีล 8 เราเริ่มปล่อยปละละเลย หวนกลับเข้าสู่ชาวพุทธ ผู้ถือศีล5จอมปลอม...หรือว่าศีลข้อที่6-8 เป็นตัวช่วยให้เรารักษาศีลได้ดีขึ้น...อันนี้คือข้อสังเกตของเรา)
เอาล่ะ เรามาว่ากันต่อ ในศีล 5 ข้อ เราว่าข้อ4 นี่ยากที่สุดสำหรับเรา โดยนิสัยของเรา
1.เราไม่นิยมการฆ่า
2.เราไม่ลักขโมย(ข้อนี้ก็ลึก...อาจจะผิดแบบไม่รู้ตัวกันเยอะ)
3.เราไม่ประพฤติผิดในกาม
4......
5.เราไม่ดื่มสุรา
แต่ศีลข้อ4 เราไม่นิยมการโกหกนะ แต่ไม่ใช่ว่าไม่โกหกแล้วจะถือว่าศีลบริสุทธิ์ ศีลข้อ4 ยังมีอีกหลายอย่าง เราว่ามันตัดสินยาก นอกจากจะต้องไม่พูดปดแล้ว ยังรวมถึง ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย และไม่พูดเพ้อเจ้อ
ถือเป็นเรื่องที่ทำยาก ไม่พูดหยาบนี่โอเค ไม่พูดส่อเสียดนี่ยังมี เพ้อเจ้อนี่ก็มี นี่แหละ หากใจเราไม่ตระหนักว่าเรา ครองตนอยู่ในฐานะไหน (อ่อๆๆหรือว่า ศีลจะเป็นตัวชี้วัดว่าเราคือมนุษย์ เพราะถ้าคนไหนไม่มีศีลแล้วละก็ เราก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่ทำตามสัญชาตญาณ...เรื่องนี่ต้องคุยอีกยาว เราะระหว่างที่พิมพ์อยู่นี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมา เป็นข้อสังเกตเยอะแยะ...) นี่เราถือศีลอยู่นะ หรือถ้าเป็นชายถ้าไม่บวช สิ่งเหล่านี่ก็จะวนเวียนเป็นชีวิตประจำวันของเรา แล้วเราจะกล่าวว่า เราบวชที่บ้านได้อย่างไร แต่ถ้าจะทำให้ได้ คนนั้นต้องมีจิตใจมุ่งมั่นอย่างแรกกล้าที่จะทำ คนรอบข้างของเขาก็ต้องทำ คือต้องดีๆทั้งหมด ที่ทำงาน สภาพแวดล้อมซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ (เช่น สมมุติเราขับรถ แล้วมีคนมาชนเรา เขาด่าเรา เราก็เริ่มหงุดหงิด แต่ก็พยายามระงับ แต่ในใจก็ต้องเก็บไปคิดเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่เข้มแข็งพอ หรือเข้าใจนิสัยของคน เราก็จะหลงเข้าไปพัวพันได้ง่าย และหามันมากเข้า มากเข้า เราก็หลุด นี่คือชีวิตของผู้ครองเรือน
ในความเห็นของเราคิดว่า ถ้าอยากตัดกิเลส อยากเรียนรู้พระธรรมของพระพุทธเจ้าหรือจะไปนิพพาน คุณต้องบวช ต้องเข้าไปปฏิบัติ เลิกยุ่งกับทางโลก นั่นแหละถึงจะได้ผล ถึงจะดี แต่เมื่อบวชไม่ได้ก็ต้องฝึกๆๆๆๆๆให้เป็นนิสัย นั่งสมาธิให้ใจใสๆ ใจเย็น ศึกษาพระธรรมคำสอน นั่นแหละถึงจะประคองชีวิตของผู้ครองเรือนให้อยู่ในศีลในธรรมได้
พูดถึงเรื่องศีล เราเห็นว่าข้อนี้น่าสนใจ เราจะลองศึกษาให้ลึกลงกว่านี้แล้วมาเขียนเล่าให้อ่าน เป็นข้อเลยดีกว่า เผื่อจะใช้เป็นตัวชี้วัดไปเลยว่า ทำอย่างนี้ผิด ทำอย่างนี้ไม่ผิด ศีลขาด ศีลด่างพล้อยเป็นอย่างไร โทษของมันเป็นอย่างไร ทั้งทางโลก(กฎหมาย) และทางธรรมเป็นอย่างไร เอาให้ลึกเอาให้จริงกันเลยดีกว่า เห็นว่าคงดีกับทั้งตัวเราเอง และคนที่จับพลัดจับพลูเข้ามาอ่านเรื่องราวของเรา
กำหนดส่งงาน สัปดาห์ละข้อแล้วกัน เพื่อรวบรวมข้อมูล ขอเริ่มจาก ศีลข้อ4 ก่อนแล้วกัน ด้วยความอยากรู้ ฉันทะเกิดเลยตอนนี้ เพื่อนที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่าน ถ้าอยากถามเรื่องอะไรก็แสดงความคิดเห็นกันเข้ามาได้เลยนะคะ เดี๋ยวเราจะไปหาคำตอบมาให้เอาให้ทุกแนวทาง ทุกแขนง ทุกศาสตร์เลย เอาเต็มที่ที่สุดเลยว่างี้ เอาเป็นว่าวันจันทร์ที่7/11/59 เรามาเจอกันกับเรื่องศีล ข้อ4 ทั้งเรื่องความหมาย เรื่ององค์ประกอบแห่งศีล เรื่องผิดไม่ผิด ...เป็นต้น
ความดีของเพื่อน วันนี้ขอเป็นการจับดี การชื่นชมคนๆหนึ่งก็แล้วกัน นั่นคือลุง เราสังเกตเห็นว่าท่านเป็นคนที่เอาจริงๆเอาจังกับเรื่องที่สนใจเป็นอย่างมาก แล้วก็จะทุ่มเวลา ทำกับเรื่องนั้นๆจนบางทีตัดโลกภายนอกออกไป เราคิดว่า ถ้าเราทำได้อย่างนั้้น รักที่จะทำสิ่งใด เริ่มต้นกับสิ่งใดก็อยากจะทุ่มเท กาย ใจ เวลาแสวงหาแนวทางเพื่อให้มันสำเร็จให้ได้ เราจะเป็นอย่างนั้นให้ได้ สำหรับวันนี้ หลับในอู่ทะเลธรรมดีกว่าเรา...
22.18น.