วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มนุษย์ (บันทึกบทที่1)

"แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"
(สุนทรภู่จากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมนี)

     คำกลอนที่กล่าวข้างต้น ไม่เกินไปจากความจริงที่ดิฉันสัมผัสได้จริงๆ เราไม่สามารถไปหยั่งรู้จิตใจของใครๆได้ แม้แต่จิตใจของตนเองยังไม่สามารถรู้ได้เลย จะไปหวังรู้ใจคนอื่นได้ยังไง 

     ดิฉันจะถือว่าสถานที่แห่งนี่ หรือบล๊อกนี่เป็นเสมือนสมุดบันทึกเล่มโตของดิฉันที่อยากจะระบายออกมา เพื่อตีแผ่วิถีของมนุษย์ที่ดิฉันเจอะเจอ 
     หากวันหนึ่งมีคนบังเอิญเปิดอ่านดิฉันก็ยินดี ถือเสียว่าถือเสียว่าเข้ามาฟังเรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งก็แล้วกันนะ
     จุดเริ่มต้น เริ่มจากการหาทางออกให้ชีวิตไม่เจอ รู้สึกถึงทางตัน จนต้องเริ่มจดบันทึกสิ่งที่ดิฉันคิด เผื่อว่าวันหนึ่งเมื่อมองย้อนกลับมาจะทำให้ดิฉันเข้าใจความเป็นตัวตนของดิฉัน ไม่ใช่ของคนอื่น แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่และดิฉันอยากกระหายใคร่รู้ยิ่งคือ ภายในตนเอง สิ่งที่คิด กิเลสตนใดมันดลจิตใจ ให้ดิฉันเลือกสิ่งนี้มากกว่าจะทำสิ่งนั้น อะไรทำให้ดิฉันรู้สึกอย่างนั้น ทำไมต้องโกรธ ทำไมต้องรัก ต้องชอบ อะไรเป็นเหตุที่มาของการที่เราจะลงมือกระทำอะไรสักอย่าง

16/10/2559 
19.58น.

     ช่วงนี่เป็นช่วงแห่งการสูญเสียของประชาชนชาวไทย เมื่อได้ยินข่าวการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงของชนชาวไทย  เมื่อวันที่ 13/10/59 ที่ผ่านมา ทุกคนต่างรู้สึกอาลัย รวมถึงเราด้วย พยายามจะไม่ดูสื่อต่างๆเพราะอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ ทุกช่องล้วนเสนอข่าวเกี่ยวกับพระองค์ เกี่ยวกับพระราชกิจ โครงการต่างๆ รวมถึงการไปสัมภาษณ์คนที่เคยพบพระพักตร์และได้ถวายของเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านทั่วหัวระแหง ทุกคนพูดไปก็น้ำตาไหลไป เราก็อดร้องไห้ตามไม่ได้ หลังๆจึงเลิกดู 
     ช่วงนี้เสื้อสีดำขายดี จนเสื้อขาดตลาด เราจะต้องตะเวนหาซื้อ เพื่อไว้ใส่ไว้ทุกข์ให้แด่พ่อหลวง สิ้นค้าขาดตลาด นั่นก็หมายความว่าทุกคนต่างรักและอาลัยแด่ในหลวง นั่นคือสิ่งที่เราสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า แม่ค้าในตลาด พนักงานห้าง หรือแม้แต่คนเก็บขยะก็ยังใส่เสื้อดำ พ่อหลวงรูปที่มีทุกบ้าน ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ต้องเปลี่ยนรัชกาล เคยดูละครเรื่องสี่แผ่นดิน ตอนถึงคราวเปลี่ยนรัชกาล ตัวละครต่างร่ำไห้ เมื่อสิ้นรัชกาลนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรก็ดูไว้เป็นความรู้ แต่เมื่อต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง บอกเลยว่ามันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง เมื่อกลับบ้านมา แม่บอกว่าในหลวงท่านไปเสียแล้ว...น้ำตามันไหล....แต่ก็ต้องยอมรับแล้วดำเนินชีวิตต่อไป พระองค์จะอยู่ในความทรงจำของลูกต่อไป....

     ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี่ชีวิตดูเหมือนจะเรียบง่ายไปหน่อย...ไม่หน่อยล่ะมากเลยทีเดียว ทำให้ต้องคิดทบทวนว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหน เคยวางแผนชีวิตไว้ดิบดี ก็ต้องพังไม่เป็นท่าอีกล่ะ มันคืออะไร อยากแก้ไข อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น รู้หนทางทุกอย่าง อ่านหนังสือทุกเล่ม แต่ก็ยังอยู่ที่เดิม เพราะไม่ลงมือทำ

     จึงต้องหันกลับมาคิดว่าจะแก้ไขการไม่ลงมือทำนี่ยังไง นี่คือสิ่งที่ยากมากๆ ขี้เกียจหรือป่าว ห้ามใจตนเองไม่ได้ อะไรที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ก็รู้ว่าต้องลงมือทำ แล้วทำไมเราไม่รู้สึกว่าต้องลงมือทำล่ะ อาจจะงงใช่ไหม แต่มันคือปัญหาใหญ่เลย หรือไม่มีแรงบันดาลใจล่ะ ที่นักคิดทั้งหลายต่างบอกให้เราหาแรงบันดาลใจ หรือเป้าหมาย ให้เจอแล้วจะมีกำลังใจลงมือทำ 

     หรือจะเป็นเพราะเราเป็นคนคิดมาก คิดแล้วคิดอีก ถ้าทำยังงี้จะดีไหม แล้วปัจจัย ปัญหาที่จะตามมา การยอมรับฯลฯ ต่างๆนานา ผิดกับคนที่ไม่คิดมากแล้วลงมือทำ 

     แล้วถ้ามันเกิดจากความคิด ทำยังไงไม่ให้คิดมาก แล้วลงมือทำล่ะ ....น่าคิดวิธีนี่น่าจะดี

     เริ่มต้นจากอะไรดีอ่ะ ตัวเราก่อนดีไหม เรื่องน้ำหนักรูปร่างของเราที่เป็นปัญหา ถือเป็นเรื่องใหญ่หรือป่าวนะ....เพราะพอจะลดความอ้วนทีไร ก็อดใจกินชาเย็นไม่ได้ทุกที....แสดงว่าเราไม่อยากลดความอ้วนจริงนะหรือ ...รู้ว่าเป็นโทษแต่ก็ยังกิน ชาเย็น กาแฟเย็น โกโก้เย็น 1แก้ว ประมาณ 3 up ไม่รวมวิป ซึ่งปริมาณแคลอรี่ต่อวันนั้น หญิง ประมาณ 1600 ชาย 2000 แต่นี่แค่น้ำดื่มข้างเคียงก็เทียบเท่ากับอาหารมื้อนึงแล้ว ไหนจะข้าวสามมื้อ ของกินเล่น เผลอ 2000+ ...รู้ทั้งรู้เฮ้อ ...
   วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวนอนคิดก่อนว่าจะจัดการกับชีวิต คิด รู้แต่ไม่ทำยังไงดี...กู๊ดไนท์จร้า

    

     
 

 
//

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น