วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ศีลข้อ4 มุสาวาทา เวรมณี ไม่ใช่แค่การพูดไม่จริงอย่างเดียว

มุสาวาทา เวระมะณี  สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
7/11/59
สวัสดีค่ะ ตามสัญญาวันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องศีลข้อ4กันค่ะ
มุสา แปลว่า เท็จ ไม่จริง
วาท แปลว่า วาจา คำพูด ซึ่งส่วนใหญ่คนมักโกหกกันทางคำพูด ทว่าการแสดงออกทางกายก็ถือว่าใช่เช่นเดียวกัน
     ทางกาย เช่น การเขียนจดหมายเท็จ การพิมพ์ข่าวเท็จ การทำหลักฐานปลอม การทำเครื่องหมายซึ่งทำให้คนหลงเชื่อ การสั่นศีรษะ การพยักหน้า เป็นต้น
     ศีลข้อที่4นี้ครอบคลุมถึงสิ่งใดบ้าง
1.การโกหก
2.การพูดส่อเสียด
3.การพูดคำหยาบ
4.การพูดเพ้อเจ้อ

     การโกหก คือความไม่จริง เป็นเท็จมีทั้งหมด 7 ลักษณะ ได้แก่
          1.การปด โกหกชัดๆ  รู้ว่าไม่รู้ เห็นว่าไม่เห็น ไม่มีว่ามี
          2.การสาบาน เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าตนไม่เป็นเช่นนั้น หรือการสาบานในการเป็นพยานว่าจะพูดเรื่องจริง แต่จริงๆแล้วไม่จริง
          3.การทำเล่ห์ การอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์ เช่นใบ้หวยโดยไม่รู้จริง
          4.มายา คือการแสดงอาการหลอกทำให้เขาเข้าใจผิดจากความจริง เจ็บน้อยบอกว่าเจ็บมาก ไม่เจ็บทำเป็นเจ็บ
          5.ทำเลศ จริงๆไม่อยากพูดเท็จ เล่นสำนวนให้คนฟังคิดผิดไปเอง พูดคลุมเครือ เล่นสำนวน เช่น เห็นโจรวิ่งราว อยากช่วยปกปิด เลยย้ายที่ยืน พอคนมาถามก็บอกว่า อยู่ที่นี่ไม่เห็น
          6.เสริมความ การอาศัยมูลเดิม เรื่องจริงมีนิดเดียว แต่เสริมเติมแต่งขยายความ เช่นการโฆษณาเกินความจริง
          7.อำความเรื่องใหญ่ แต่พูดตัดความให้เป็นเรื่องเล็ก ปิดบังในส่วนที่ควรบอกหรือรู้แต่ไม่รายงานให้เจ้าหน้าที่ทราบ
    
      การพูดส่อเสียด(ปิสุณวาจา) คือ พูดแล้วทำให้เขาเสื่อมจากเกรียติยศชื่อเสียง การนำเรื่องเสื่อมเสียของคนหนึ่งไปบอกคนหนึ่ง การพูดยุยงให้คนเขาแตกกัน ทำได้ทั้งทางวาจา ทางกาย เช่น เขียนข่าวยุแหย่ให้คนเขาเสื่อมเสีย ให้คนรักกัน เกลียดกันขึ้นมาได้ การพูดกระทบกระแทกแดกดัน ให้ผู้อื่นเจ็บใจ ให้เขาเสียใจ 
     
     การพูดคำหยาบ(ผรุสวาท) ได้แก่ การด่า การแช่ง ด้วยวาจาหรือทางกาย(การเขียนด่า การทำท่าทาง) ด้วยอาการโกรธเคือง ด้วยใจร้อนรุ่ม ทำเพราะโกรธเคือง เป็นคำที่ฟังแล้วไม่สบายใจ รู้สึกเจ็บแค้น  คำหยาบ คำด่านั้นแม้ว่าคนถูกด่าจะอยู่ต่อหน้า ลับหลัง หรือแม้กระทั่งตายไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นการอกุศลกรรมบท แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ไม่ได้ถือเป็นบาปที่ฉุดคร่าผู้กล่าวให้ไปสู่อบายได้เช่นกัน 
     
     การพูดเพ้อเจ้อ(สัมผัปปลาปะ) คือ คนที่พูดเก่งคุยสนุก แสดงออกอย่างสนุกสนาน ทว่าการพูดนั้นไม่มีสาระแก่นสารในการเป็นคุณผู้อื่นและสังคม ฟังแล้วสนุกแต่ปนด้วยโมหะ หมดเวลาเป็นวันๆ เสียเวลาไปเปล่า คำพูดที่ฟังแล้วสนุกสนาน ที่มัน ที่สะใจในอารมณ์ มักมีการพูดล้อเล่นล้อเลียนผู้อื่นปนอยู่เสมอ เป็นการพูดทำลายประโยชน์ หรือการเล่าเรื่องหนัง นิยาย การแสดงตลก เขียนเรื่องอ่านเล่นที่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไม่ก่อประโยชน์ให้ผู้ดู ผู้ฟังผู้อ่าน 
     ทว่าการพูดเหลวไหล ไม่จัดเป็นมุสาวาทเพราะผู้พูดไม่ได้เจตนาจะโกหก ทว่าหากมีความตั้งใจจะมุสาปนอยู่ด้วย และผู้ฟังก็หลงเชื่อ ก็มีผลทำให้ไปเกิดในอบาย แต่ถึงอย่างไรแม้จะล้อเล่น แต่ยังมีวิบากกรรม ทำให้เกิดใช้กรรมในการล้อเลียน
     เมื่อเรารู้ถึงลักษณะที่ควรงดเว้นในศีลข้อนี้แล้ว เราก็มาดูว่า ครงองค์ประกอบของการผิดศีลหรือไม่

องค์ประกอบการผิดศีลข้อ 4
    1.เรื่องที่นำมาแสดงนั้นเป็นเรื่องไม่จริง(เข้าลักษณะ1-7ข้างต้น)
     2.มีจิตคิดจะพูดเท็จ
     3.กระทำการพูดเท็จ หรือ แสดงอาการทางกายทำให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย
     4.ผู้รับสารเชื่อฟังตามเนื้อหาอันเป็นเท็จนั้น 
     หากครบทั้ง4ข้อ ก็ถือว่าผิดศีลขาดทันที แต่ในส่วนของกรณีพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยู่ในอนุโลมมุสา ทำให้ศีลด่างพร้อย
     ต่อมาเรามาดูเรื่องโทษของเรื่องนี้กัน แน่นอนว่าจะมากน้อยนั้นขึ้นอยู่แต่ละกรณี เรามาดูหลักเกณฑ์กัน
1.ความเสียหายเกิดขึ้น
2.เจตนาจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย
3.คุณธรรมของผู้เสียหาย
     กล่าวคือ ถ้าเกิดความเสียหายมากผิดมาก มีเจตนา มีความพยายามมากน้อยเพียงไร คุณธรรมของผู้เสียหายมากก็ผิดมาก เช่นผู้ทรงศีล เป็นต้น

อนุโลมมุสา
ทำให้ศีลด่างพล้อย เรื่องที่กล่าวไม่เป็นความจริง แต่ไม่ได้ต้องการให้ผ฿ฟังเข้าใจผิด
     1.พูดเสียดแทง กระทบกระแทกแดกดัน พูดให้ผู้อื่นเจ็บใจ
     2.พูดประชด ยกให้เกินความจริง
     3.พูดด่า กดให้ต่ำกว่าคงวามเป็นจริง
     4.พูดสับปลับ แต่ไม่ตั้งใจให้เข้าใจผิด
     5.พูดคำหยาบ ต่ำทราม
     6.พูดคะนองวาจา 
ส่วนส่วนอีกอย่าง แรกคิดจะทำตามรับปาก แต่ตอนหลังไม่ทำ เรียกว่า  ปฏิสสวะ รับแล้วไม่ทำ ผลทำให้เสียชื่อเสียง
     1.ผิดสัญญา สองฝ่ายสัญยาว่าจะทำเช่นนั้น 
     2.เสียสัตย์  คือให้สัตย์ฝ่ายเดียวว่าตนเองจะทำเช่นนี้ แต่ไม่ทำ
     3.คืนคำ โดยรับปากว่าจะทำ โดยมีสัญญาว่าตนจะทำ ภายหลังไม่ได้ทำ

ยถาสัญญา
พูดตามที่ได้ยินได้ฟังมาหรือเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง
     1 โวหาร พูดตามสำนวนโลก เช่นคำลงท้ายจดหมาย ด้วยความเข้ารบอย่างสูง
     2.นิยาย ลิเก ละคร แม้ไม่จริง แต่ไม่เป็นมุสาวาท
     3.สำคัญผิด พูดด้วยเข้าใจว่าถูกต้อง ทั้งๆที่เรื่องนั้นไม่จริงเช่นจำวันผิด 
    4.พลั้ง พูดพลั้งเผลอโดยไม่ได้ตั้งใจให้ผิดพลาด
ผู้ที่ผิดศีลข้อ4 บ่อยๆ เริ่มจากมหานรกขุม 4  โรรุวมหานรก
มหานรกขุม 4 ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก dmc.tv
      โรรุวมหานรก หมายถึง มหานรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องระงมครวญครางอย่างน่าเวทนา นรกขุมนี้ เป็นนรกขุมที่ 4 อยู่ถัดลงมาจากสังฆาฏมหานรก มีขนาดใหญ่กว่าสังฆาฏมหานรก ชีวิตในโรรุวมหานรก สัตว์นรกขุมนี้ต้องรับทุกขเวทนาในดอกบัวเหล็ก โดยวิธีที่แปลกประหลาด คือ ต้องนอนคว่ำหน้าอยู่กลางดอกบัวเหล็กอันโตใหญ่ ศีรษะมิดเข้าไปในดอกบัวแค่คาง ปลายเท้าจมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อเท้า มือทั้งสองข้าง ก็กางจมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อมือ นอนคว่ำหน้าอยู่ด้วยอาการพิลึกพิกลเช่นนั้น เปลวไฟก็ปรากฏขึ้น เผาไหม้ดอกบัวเหล็กพร้อมกับสัตว์นรกเหล่านั้น เปลวไฟแลบเข้าหูซ้ายออกหูขวา แลบเข้าหูขวาออกหูซ้าย เข้าปาก ตา จมูก สัตว์นรกได้แต่ร้องครวญครางเสียงสนั่นหวั่นไหวอื้ออึง จะตายก็ไม่ตาย มีกายลำบากอย่างแสนสาหัส ต้องทนทุกขเวทนาอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะถึงอายุขัยตายไปจากนรกขุมนี้ เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบ พูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ มีวจีกรรมชั่วหยาบเป็นส่วนมาก โดยมีอายุขัยของโรรุวมหานรกเท่ากับ 4,000 ปีนรก วันหนึ่งคืนหนึ่งในมหานรกขุมนี้ เมื่อเทียบกับเวลาในมนุษยโลกแล้ว เท่ากับ 576 ล้านปีของมนุษยโลก ถ้า 4,000  ปีนรก ก็เท่ากับ 829,440,000 ล้านปีในเมืองมนุษย์(www.dmc.tv) พอหมดกรรมก็ไปสู่อสุทนารก
     อสุทนารก  นรกที่เป็นขุมบริวาร เราเรียกลักษณะของอุสสทนรกว่า ขุมเช่นเดียวกับมหานรก  อุสสทนรกมีขนาดเล็กกว่ามหานรก และ การทัณฑ์ทรมานก็เบาบางกว่า มีความทุกข์น้อยกว่า ไฟนรกก็ร้อนแรงน้อยกว่ามหานรก และยังพอมีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานบ้างเล็กน้อย (www.dmc.tv)
     ผลกรรม แวกว่ายในน้ำครูดกรด เมื่อว่ายถึงอีกฝั่ง เจอนกอีกาปากเหล็ก ก็โทษถ่ายกด ตายเกิดวนเวียนอีกยาวนาน เมื่อหมดกรรมก็ไปสู่ยมโลก
     ยมโลก ยมโลกมีความพิเศษที่หลากหลายกว่ามหานรกและอุสสทนรก เพราะเป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรก และลงโทษสัตว์นรกที่มาจากมหานรก ผ่านอุสสทนรกมายังยมโลก นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ตัดสินบุญบาปของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์ ที่มีลักษณะของใจที่ไม่หมองไม่ใสอีกด้วย เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งไปตามภพภูมิต่างๆ เช่น ไปเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับกุศลกรรมและอกุศลกรรมของกายละเอียดเหล่านั้น          
     ยมโลกทำหน้าที่คล้ายกับศาลในเมืองมนุษย์ เราอาจจะถือว่ายมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับภูมิอื่นๆ ก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากมหานรก และรองรับกายละเอียดที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ดังกล่าว ยมโลกมีรายละเอียดมากกว่ามหานรกและอุสสทนรก 
มโลก ของผู้มีจิตไม่หมองไม่ใส(www.dmc.tv)
     ผลกรรม ถูกโยนในบ่อครูดกรดร้อน ถ้าหนีใช้หอกแทงเมื่อหนี หากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์โกหกบิดเบียนไว้ ก็จะมีร่างกายบิดเบี้ยวออกมา เมื่อ
     หมดกรรม ก็ไปเกิดเป็น แมลงที่อาศัยอยู่ในกองคูด อยู่ในถังส้วม เป็นหนอน แมลงสาบ เป็นสัตว์ที่กินครูด เป็นสนุขขี้เรื้อนด้วยวิบากกรรมที่ทำให้เขาร้อนรน เมื่อมาเป็นมนุษย์ ฟันจะเหยิน ฟันเก ถูกใส่ร้าย ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
     
ฝากเรื่องอีกประเด็นหนึ่งเพราะเราอยู่ในโลกของโซเซียล โลกอินเตอร์เน็ต การเขียน การพิมพ์หากเป็นเรื่องไม่จริง ทำให้เขาเสื่อมเสียก็ทำให้ผิดศีลเช่นกัน หรือแม้แต่การไปแสดงความเห็น ใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ล่วงเกินผู้อื่น ที่สำคัญมันไปอย่างรวดเร็วกว้างขวาง มีคนแชร์เยอะแยะ มันยิ่งกว่าสมัยก่อน ที่พูดเพียงสิ่งเดียวคนรับข่าวสารน้อย แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้คนรู้กว้างขึ้น เร็วขึ้น ผลที่ตามมาก็มากขึ้นด้วย อินเตอร์เน็ตมีคุณมาก แต่ก็มีโทษมากเช่นกันหากนำไปใช้ในทางที่ผิด...
ฝากไว้ด้วยนะคะ หากข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณที่นี้ด้วยนะคะ

Q: โกหกเพื่อความสบายใจ ผิดหรือไม่?
     คำตอบคือ ผิดค่ะ เพราะเป็นคำที่ไม่จริง แต่พูดออกมา โกหกก็คือโกหก มันผิดอยู่แล้ว คนที่ชอบอ้างว่าเพื่อความสบายของอีกฝ่ายนั้นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งตนเองไม่สามารถจัดการชีวิตของตนได้อย่างถูกต้องและรอบคอบ จึงต้องโกหก ปกติแล้วคนเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปโกหกใคร แต่ที่ต้องโกหกเพราะมีเรื่องที่ไม่ถูกต้องแอบแฝงอยู่แน่ๆ 

Q: แล้วเราควรจะพูดอย่างไรล่ะ ไม่ให้ผิดศีลและเป็นการพูดที่ถูกต้อง?
     คนพูดเป็น คือคนที่คิดให้รอบคอบ มีสติก่อนพูด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักไว้ 5 ประการ
     1.พูดด้วยจิตเมตตา ก่อนจะพูดให้นึกเสียก่อนว่าเราปราถนาดีต่อคนฟังหรือไม่ ถ้าร้ายก็อย่าพูด
     2.พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ แม้มีความปราถนาดี แต่พูดไปแล้วถ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อคนฟังก็อย่าพูด อาจจะเป็นการพูดเพ้อเจ้อได้
     3.พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ถึงแม้ว่าจะเป็นประโยชน์แต่ถ้าเต็มไปด้วยคำหยาบคาย ก็ไม่มีใครอยากฟัง ไม่มีใครอยากทำตาม ฉะนั้นพูดสิ่งที่ไพเราะดีกว่า
     4.พูดความจริง
     5.พูดถูกกาลเทศะ ก่อนพูดต้องดูกาลเทศะให้ดี เพราะหากไม่ถูกจังหวะอาจโดนเกลียดชัง หรืออาจตายได้เช่น เตือนคนต่อหน้าธารกำนัล(ฉีกหน้ากันชัดๆ) 
     การพูดไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร นิ่งเสียดีกว่า....
     สุดท้ายขอบคุณทุกข้อมูลที่เราได้ค้นคว้า ถ้าผิดพลาดประการใดก็ให้อภัยกันนะคะ แล้วเจอกัน กับศีลข้อ1 อาทิตย์หน้าค่ะ...

อ้างอิง  https://www.youtube.com/watch?v=hotVKYVPDm0
            https://www.youtube.com/watch?v=q0Z6PHueSUY
          พระภาวนาวิริยคุณ.หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา
            www.dmc.tv
21.00น.

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วัดผลจากการถือศีล8 มา 5 วัน


"เมื่อใจเราคิดจะปฏิบัติธรรม ลงมือทำ แม้มันจะใช้เวลาน้อย แต่ก็ถือว่าได้บุญ
เราถือว่าเรากำลังเดินเข้าใกล้พระธรรม เรากำลังเดินไปถูกทางแล้ว เพียงแค่อดทนและฝึกตนต่อไป อาจจะต้องนั่งพักบ้างหรือเจ็บป่วยบ้าง แต่เราก็ถือว่าโชคดีที่เรามาถูกทาง มองเห็นแสงแห่งความสุข           แม้จะอยู่ไกลๆเราก็ต้องดีใจ เพราะเราไม่ได้หลงทางไปในทางอื่น 
ที่แม้เดินให้ตายก็ไม่มีวันได้สัมผัสแสงสว่างนั้น"

31/10/59
20.27

     วันนี้เป็นวันแรกที่ถือศีลห้าหลังจากลาศีล8 ไปแล้วเมื่อวาน ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ความที่เรายังเป็นคนมีกิเลสอยู่ พอออกจากศีล8มาได้ ก็เข้าหาโลกโซเซียล สื่อบันเทิงต่างๆ แทบไม่ได้พักสายตา ผลที่ตามมา คือ ปวดหัวมาก แต่ศีล 5 ยังถือปฏิบัติได้ดี เพราะตอนที่ถือศีล8 ได้ดูวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องศีลนี่แหละ เรื่องข้อปานาติปาทา...ก็เลยได้แง่คิดหลายๆเรื่องตามมาด้วย
     คนที่มักจะกล่าวว่า "การปฏิบัติธรรม การถือศีลนั้น อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ขอให้เราเป็นคนดี อยู่บ้านก็ทำได้ ไม่ต้องไปบวช ไปปฏิบัติธรรมหรอก ทำที่บ้านก็ได้" ท่านไม่เห็นด้วย เราก็ว่าจริงวัดจากตัวเราเองนี่แหละ 
     "เราอยู่บ้านศีลเราขาดไม่รู้กี่ข้อ" ท่านยกตัวอย่างเรื่องมด 
     "แม้แต่มดตัวเล็กๆที่เราไม่คิดอะไรมาก เราฆ่าเขาเราก็บาป แต่ก็อาจจะน้อยหน่อย แต่นั่นก็ถือว่าฆ่า" อันนี้จริง เราอยู่บ้านบางทีเราอาจจะเผลอเช็ดนั่นนี่ ไปโดนมดตัวเล็กๆตายก็ได้ หรืออาจจะเผลอเหยียบ ไม่แน่อยู่เราอาจจะมีอะไรหล่นไส่หัวเราก็ได้นะ (5555)ก็กรรมเป็นเรื่องของเหตุและผลนี่นะ มันสมเหตุสมผลดีอยู่แล้ว(5555)
     ขยายความต่อ เราถือศีลอยู่ที่บ้าน มีเรื่องกวนใจที่ทำให้เราเผลอผิดศีลได้ง่ายๆ เดินไปทางไหน ก็ได้ยินเสียงเพลง จะนั่งสมาธิ เสียงวิทยุ เสียงทีวีก็แว่วเข้ามาให้ได้ยิน (ไม่เหมือนวัด หรือสถานที่สงบๆที่เขาตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรม นั่นเงียบสงบ ไม่มีทีวี เสียงรถก็ไม่มีเหมือนในเมือง) ไปทำกับข้าว การดำเนินชีวิตในหนึ่งวัน ก็อาจจะเผลอเก็บกวาดมด แมลงไปบ้าง  
    ยกตัวอย่าง มีครั้งหนึ่งเรากำลังจะเทน้ำร้อนลงไปในอ่างน้ำ แต่ก็ยั้งมือเพราะคิดขึ้นมาได้ว่า ในท่อนั้นคงมีพวกแมลงสาบ หรืออาจจะเป็นหนูก็ได้ ถ้าเราเทลงไปโดนมันเข้า มันคงปวดแสบปวดร้อน หรืออาจจะถึงตายก็ได้ เกือบแล้วอีกนิดเดียว ในใจก็คิดว่าถ้าเราทำเฉยแล้วไม่ใส่ใจ เปิดน้ำก๊อกเพื่อไปผสมกับน้ำร้อนๆนั้นให้เย็นลงก่อนเท เท่ากับว่าเราจงใจ ผิดเต็มๆเลยทีนี้ กันไว้ดีกว่าแก้จึงปล่อยเฉยไปไม่ได้
     หรืออีกอย่าง เรากำลังจะปิดประตูห้องน้ำ แต่ตาไปเห็นลูกจิ้งจก มันไปอยู่ตรงประตูพอดี คือถ้าไม่ดูให้ดี มันคงตายเพราะโดนประตูหนีบแน่ๆ เราจึงเอาไม้เขี่ยให้มันไปพ้นๆทาง นี่แหละ หรือแม้แต่เรื่องการพูดการจา ก็สำรวมได้ยาก เพราะเราไม่ได้อยู่กับคนที่ถือศีลเหมือนเรา เขาก็เลยเผลอพูดทำร้ายจิตใจเรา เราก็ตอกกลับ มาคิดอีกทีก็รู้สึกผิด เพราะกำลังถือศีลอยู่(เรื่องนี้เราก็ว่าแปลก เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ ตอนที่เราสัญญากับตนเองว่าจะถือศีล 8 ความรู้สึกของเราคือ เราจะต้องเคร่งครัดทุกข้อ ตั้งแต่ 1- 8 แต่ในยามที่เราออกจากศีล 8 เราเริ่มปล่อยปละละเลย หวนกลับเข้าสู่ชาวพุทธ ผู้ถือศีล5จอมปลอม...หรือว่าศีลข้อที่6-8 เป็นตัวช่วยให้เรารักษาศีลได้ดีขึ้น...อันนี้คือข้อสังเกตของเรา)
     เอาล่ะ เรามาว่ากันต่อ ในศีล 5 ข้อ เราว่าข้อ4 นี่ยากที่สุดสำหรับเรา โดยนิสัยของเรา 
1.เราไม่นิยมการฆ่า 
2.เราไม่ลักขโมย(ข้อนี้ก็ลึก...อาจจะผิดแบบไม่รู้ตัวกันเยอะ) 
3.เราไม่ประพฤติผิดในกาม 
4......
5.เราไม่ดื่มสุรา 
แต่ศีลข้อ4 เราไม่นิยมการโกหกนะ แต่ไม่ใช่ว่าไม่โกหกแล้วจะถือว่าศีลบริสุทธิ์ ศีลข้อ4 ยังมีอีกหลายอย่าง เราว่ามันตัดสินยาก นอกจากจะต้องไม่พูดปดแล้ว ยังรวมถึง ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย และไม่พูดเพ้อเจ้อ 
     ถือเป็นเรื่องที่ทำยาก ไม่พูดหยาบนี่โอเค ไม่พูดส่อเสียดนี่ยังมี เพ้อเจ้อนี่ก็มี นี่แหละ หากใจเราไม่ตระหนักว่าเรา ครองตนอยู่ในฐานะไหน (อ่อๆๆหรือว่า ศีลจะเป็นตัวชี้วัดว่าเราคือมนุษย์ เพราะถ้าคนไหนไม่มีศีลแล้วละก็ เราก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่ทำตามสัญชาตญาณ...เรื่องนี่ต้องคุยอีกยาว เราะระหว่างที่พิมพ์อยู่นี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมา เป็นข้อสังเกตเยอะแยะ...) นี่เราถือศีลอยู่นะ หรือถ้าเป็นชายถ้าไม่บวช สิ่งเหล่านี่ก็จะวนเวียนเป็นชีวิตประจำวันของเรา แล้วเราจะกล่าวว่า เราบวชที่บ้านได้อย่างไร แต่ถ้าจะทำให้ได้ คนนั้นต้องมีจิตใจมุ่งมั่นอย่างแรกกล้าที่จะทำ คนรอบข้างของเขาก็ต้องทำ คือต้องดีๆทั้งหมด ที่ทำงาน สภาพแวดล้อมซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ (เช่น สมมุติเราขับรถ แล้วมีคนมาชนเรา เขาด่าเรา เราก็เริ่มหงุดหงิด แต่ก็พยายามระงับ แต่ในใจก็ต้องเก็บไปคิดเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่เข้มแข็งพอ หรือเข้าใจนิสัยของคน เราก็จะหลงเข้าไปพัวพันได้ง่าย และหามันมากเข้า มากเข้า เราก็หลุด นี่คือชีวิตของผู้ครองเรือน 
     ในความเห็นของเราคิดว่า ถ้าอยากตัดกิเลส อยากเรียนรู้พระธรรมของพระพุทธเจ้าหรือจะไปนิพพาน คุณต้องบวช ต้องเข้าไปปฏิบัติ เลิกยุ่งกับทางโลก นั่นแหละถึงจะได้ผล ถึงจะดี แต่เมื่อบวชไม่ได้ก็ต้องฝึกๆๆๆๆๆให้เป็นนิสัย นั่งสมาธิให้ใจใสๆ ใจเย็น ศึกษาพระธรรมคำสอน นั่นแหละถึงจะประคองชีวิตของผู้ครองเรือนให้อยู่ในศีลในธรรมได้
     พูดถึงเรื่องศีล เราเห็นว่าข้อนี้น่าสนใจ เราจะลองศึกษาให้ลึกลงกว่านี้แล้วมาเขียนเล่าให้อ่าน เป็นข้อเลยดีกว่า เผื่อจะใช้เป็นตัวชี้วัดไปเลยว่า ทำอย่างนี้ผิด ทำอย่างนี้ไม่ผิด ศีลขาด ศีลด่างพล้อยเป็นอย่างไร โทษของมันเป็นอย่างไร ทั้งทางโลก(กฎหมาย) และทางธรรมเป็นอย่างไร เอาให้ลึกเอาให้จริงกันเลยดีกว่า เห็นว่าคงดีกับทั้งตัวเราเอง และคนที่จับพลัดจับพลูเข้ามาอ่านเรื่องราวของเรา 
     กำหนดส่งงาน สัปดาห์ละข้อแล้วกัน เพื่อรวบรวมข้อมูล ขอเริ่มจาก ศีลข้อ4 ก่อนแล้วกัน ด้วยความอยากรู้ ฉันทะเกิดเลยตอนนี้ เพื่อนที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่าน ถ้าอยากถามเรื่องอะไรก็แสดงความคิดเห็นกันเข้ามาได้เลยนะคะ เดี๋ยวเราจะไปหาคำตอบมาให้เอาให้ทุกแนวทาง ทุกแขนง ทุกศาสตร์เลย เอาเต็มที่ที่สุดเลยว่างี้ เอาเป็นว่าวันจันทร์ที่7/11/59 เรามาเจอกันกับเรื่องศีล ข้อ4 ทั้งเรื่องความหมาย  เรื่ององค์ประกอบแห่งศีล เรื่องผิดไม่ผิด ...เป็นต้น
   ความดีของเพื่อน วันนี้ขอเป็นการจับดี การชื่นชมคนๆหนึ่งก็แล้วกัน นั่นคือลุง เราสังเกตเห็นว่าท่านเป็นคนที่เอาจริงๆเอาจังกับเรื่องที่สนใจเป็นอย่างมาก แล้วก็จะทุ่มเวลา ทำกับเรื่องนั้นๆจนบางทีตัดโลกภายนอกออกไป เราคิดว่า ถ้าเราทำได้อย่างนั้้น รักที่จะทำสิ่งใด เริ่มต้นกับสิ่งใดก็อยากจะทุ่มเท กาย ใจ เวลาแสวงหาแนวทางเพื่อให้มันสำเร็จให้ได้ เราจะเป็นอย่างนั้นให้ได้ สำหรับวันนี้ หลับในอู่ทะเลธรรมดีกว่าเรา...
22.18น.

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรียนรู้ใหม่กับของเล่นใหม่

โลกนี้มีเรื่องราวมากมายให้เราได้เรียนรู้ไม่สิ้นสุดจริงๆ

30/10/59
18.04น.

     วันนี้เป็นวันที่เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆตื่นเต้นมากกว่าเจ้าของอีกนั่นคือ เจ้าสิ่งนี้ ตามลำดับเลยค่ะ 
ดอกกุหลาบดอกแรก

ชินมินเอ ดาราในดวงใจ

ภาพต้นไม้ เป็นภาพที่ภูมิใจสุดๆ

     ทั้งหมดที่มีโอกาสเพราะหลานสาวอยากเรียนวาดภาพ เลยได้เมาท์ปากกามาใหม่ แล้วก็ลองใช้โปรแกรมโฟโต้ช้อป เราก็ลองก่อนเลย ผิดๆถูก เอาไว้หลานเป็นแล้วค่อยให้เจ้าตัวสอน 
     เรายังไม่เก่งขนาดที่วาดเองเลย จึงใช้ภาพถ่ายที่มีเป็นแบ็ค แล้วเราก็ร่างทับ ให้มันออกมาเป็นภาพการ์ตูน เราก็ว่ามันสวยนะ สวยป่ะไม่รู้ในมุมมองคนอื่น แต่ต้องพัฒนาอีกเยอะสู้ๆ
     วันนี้วันพระ เราก็มัวแต่เห่อของเล่นใหม่ ไปและไปสวดมนตร์ไหว้พระ ขอให้มีความสุขตลอดปี ตลอดไป
18.13น.

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อานิสงส์การสวดธัมจักกัปปวัตตนสูตร

บทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

     เป็นปฐมเทศนาเป็นพระสูตร สูตรแรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงให้กับปัญจวัคคีย์ทั้ง5 จนกระทั่งพระโกณฑัญญะท่านได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน และก็ขอบวชเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา ทำให้พระรัตนตรัยครบสาม 
     บทนี้สำคัญ ตามธรรมเนียมไทยแต่โบราณจะนิยมสวดในวันคล้ายวันเกิด พระจะเจริญพระพุทธมนตร์บทนี้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าพระรัตนตรัยครบสาม ฉะนั้นเป็นบทที่มีสิริมงคล

     เนื้อหาเป็นการกล่าวถึงว่าทางที่สุดโต่งสองสายคือ 
1.แบบหย่อนเกินไป เรียกว่า "กามสุขัลลิกานุโยค" คือเพลิดเพลินในเบญจกามคุณทั้ง5 อันนั้นไม่ถูก
2.แบบการทรมานตนเอง เรียกว่า"อัตตกิลมถานุโยค" ก็ไม่ถูก ต้องเดินตามเส้นทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา นั้นก็คือเส้นทางของอริยมรรค มีองค์ 8นั่นเอง

     ทำให้ใจเราสงบและเป็นการระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็จะทำให้บุญมาหล่อเลี้ยงใจเรา เมื่อใจของเรามีบุญหล่อเลี้ยงก็จะดึงดูดเอาเรื่องดีดี สิ่งดีๆ แล้วคนดีๆเข้ามาหาเราเอง ทำให้ตัวของเราเอง ทำอะไรก็เฮง โชคดี แล้วก็มีความสุขความสำเร็จทั้งในชาตินี้และชาติหน้าตลอดไป (ถอดความจากรายการธรรมจับใจ โดยพระมาหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ)

     เราอยากรู้คำแปลเลยไปหาลิงค์มา http://www.dmc.tv/pages/praying/Dhammajak.html เผื่อไว้อ่าน
     ความดีของผู้อื่นวันนี้ มีคนช่วยเราเปิดประตู ซึ่งมันทั้งหนักทั้งฝืด อาแบช่วยเราไว้อีกแล้ว...ขอบคุณค่ะ      วันนี้เหนื่อยมากนั่งทำงานแต่ก็เสร็จจนได้ เหลือส่งงาน วันนี้ต้องหลับในอู่ทะเลบุญแน่ๆ สาธุๆ
22.19น.






วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สัมมา อะระหัง ด้วยลูกประคำดิจิตอล

"ศีล เป็นทางมาแห่งสมาธิ
สมาธิเป็นทางมาแห่งปัญญา"

27/10/59
21.22น.

     วันนี้เป็นวันแห่งการวัดผล ถือว่าดีมากๆวันหนึ่งหลังจากที่ตั้งมั่นว่าจะรักษาศีล8 ได้สวดมนตร์นั่งสมาธิเช้าเย็นทุกวัน
     ขณะที่เขียนนี้เพิ่งทำวัตรเย็น แถมด้วยบทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเคยสวดเป็นครั้งแรก ยังไม่คล่องเท่าไหร่ เดี๋ยวพรุ่งนี้สวดอีก 
     เล่าถึงวันนี้ทั้งวัน เมื่อใจเราเริ่มสำรวจว่าเรารักษาศีลอยู่นะดูเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น เราจะระวังมากขึ้น ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่พูดจากระทบกระทั่งใคร ทำในสิ่งที่ควรทำ ศึกษาหาความรู้ทั้งเรื่องงานซึ่งเป็นการเริ่มต้นงานที่คั่งค้างให้สำเร็จ และเรื่องธรรมะ มีโอกาสรู้เรื่องอานุภาพของคำภาวนาสัมมาอะระหังนั้นมากมายนัก เริ่มจากสภาพใจที่นิ่งอยู่ในสมาธิ และอานุภาพที่ช่วยให้สมปราถนา ค้าขายดีขึ้น เราก็ว่าลองบ้าง หลังจากที่ก็พอรู้มาบ้าง แต่ไม่ได้ลองทำจริงจัง คนที่ทำอย่างจริงจัง เขามีลูกประคำไว้คอยนับ เราก็เลยสนใจ ลองค้นอยากลองทำดูบ้าง
ลูกประคำดิจิตอล(finger counter)

จนไปเจอเว็ปไซต์หนึ่ง ชื่อ http://store.dmc.tv/index.php?route=common/home เป็นเว็ปที่ขายเจ้าลูกประคำดิจิตอล หน้าตาเหมือนทามาก๊อตจิ เลยอยากลองซื้อมาใช้บ้าง และที่สำคัญอัศจรรย์ในเว็ปนี้มีหนังสือธรรมะที่เคยนึกอยากหามาอ่าน แต่ตามตลาดทั่วไปไม่มี ดีใจมากๆ ได้แต่สาธุๆๆในใจ ถ้าได้มาแล้วจะมารายงานผลการปฏิบัตินะ
     เรื่องความฝันเราขอไม่เล่าดีกว่า เรามาเล่ากันเรื่องความจริง เรื่องธรรม เรื่องข้อคิดที่ได้ประจำวันดีกว่า ความฝันนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่เราคิดขึ้นมาเอง มันฟุ้งซ่านเอง คงหาสาระไม่ได้ เรามาเอาความจริงกันดีกว่า
     เรื่องความดีของเพื่อน ต้องยกความดีให้บุคคลที่พูดให้เราฟังเรื่องอานุภาพสัมมาอะระหัง ที่ทำให้เราได้รับแรงบันดาลใจ ขอบคุณแม่ที่ยังคงอยู่ข้างๆกัน ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกคนที่ช่วยบอกบุญ ที่ช่วยแชร์เรื่องดีๆให้เราได้อนุโมทนาบุญ ขอบคุณคนที่ให้การศึกษา ขอบคุณทุกๆอย่าง ขอบคุณเสียงปลุกของหลวงพ่อทัตตะชีโว ที่ปลุกเรามาทำวัตรสวดมนตร์แต่เช้า ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณๆๆๆๆ
     ธรรมะประจำวันที่โดนใจสุดๆคือ เป็นคำพูดของหลวงปู่สด (พระมงคลเทพมุนี) จากหนังสือวาทะธรรม
ตอนหนึ่ง เรื่องคนฉลาด 
     "การเรียนวิชาใดใด เราต้องใช้วิชานั้นๆได้นะ ถ้าเรียนแล้วใช้วิชานั้นๆไม่ได้ จะเรียนทำไมเสียเวลาเปล่า เสียข้าวสุก จะเรียนวิชาไหน ต้องใช้วิชานั้นได้ ต้องพึ่งได้ เอาวิชานั้นใช้ได้ ...เราต้องเรียนจริงทำจริง...ให้ศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว ครูใช้ได้อย่างไร เราก็ต้องได้เหมือนครู อย่างนี้เรียกว่า คนมีปัญญา เรียกว่าคนฉลาด"
     เราอ่านแล้วก็ตรงใจ ท่านสอนเราในทางธรรม แต่ก็สามารถนำมาใช้เปรียบเทียบกับการเรียนทางโลก ยอมรับว่าสะอึกอยู่เหมือนกัน 
     เราเรียนหนังสือกันมากี่ปี กี่วิชา กี่เรื่องกี่ราว เราเคยเรียนจริงหรือไม่ รู้ลึกรู้จริงหรือไม่ เรียนแล้วนำไปปฏิบัติได้หรือไม่ แล้วรู้จริงได้ดั่งครูหรือไม่ คำตอบที่เราให้กับตัวเองคือ ไม่เลย!!!  
หลับในอู่ทะเลบุญนะคะ
     21.46น.
     

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ถือศีล8

วันนี้เป็นวันดี เป็นวันที่เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ
26/10/59
19.16น.

     วันนี้ถือเอาวันเริ่มรักษาศีล8 เอาฤกษ์เอาชัย เราตั้งใจว่าจะถือศีล แล้วขอให้วันนี้เป็นวันเริ่มต้นให้เราเจอแต่สิ่งดีๆ และจิตใจก็เป็นไปด้วยดี
     เริ่มตั้งแต่ตอนเช้า ตื่นนอน 4.30 น. สวดมนตร์+นั่งสมาธิ+ภารกิจส่วนตัว
     ตอนเช้าไปส่งหลาน ใจอยู่ในศูนย์กลางกาย
     กลับมาพักผ่อน+ทำงาน+ทานข้าวเที่ยง ช่วงบ่ายก็นั่งสมาธิ ประมาณ 1ชม.ครึ่ง รู้สึกนิ่งๆรู้สึกร่างกายจมอยู่ในความนิ่งมาก หลังจากออกจากสมาธิต้องอยู่ในท่านั้นสักพักจึงเคลื่อนไหวร่างกายได้ เป็นวันที่ดีทีเดียว โดยจะขอถือศีล8 จนถึงวันพระที่จะถึง 30/10/59 (5วัน)หลังจากนั้นก็จะถือศีล5 ตามเดิม และจะขอถือศีล 8 ทุกวันพระด้วย 
     เมื่อลูกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ขอให้ลูกได้ค้นพบดวงสว่าง มีดวงตาเห็นธรรม และขอให้ลูกมีงานที่ดีมีสัมอาชีวะ มีสมบัติอัศจรรย์ มีชื่อเสียงไว้สร้างบุญสร้างบารมี ขอให้เป็นคนคิดดีทำดี มีแต่คนดีๆเข้ามา ขอให้ผู้ใหญ่รักเมตตา คนพาลอย่าได้เข้าใกล้ ขอให้เป็นคนมีศีลรักศีล มีโอกาสได้ทำบุญ นั่งสมาธิ รักษาศีลจนตลอดชีวิต ละโลกไปก็ขอให้ไปเกิดในดุสิตบุรี ติดตามหลวงปู่หลวงพ่อคุณยาย สร้างบุญบารมี ตราบจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทิด 
     ผลการปฏิบัติธรรม แรกยังเกร่งอยู่สักพักก็ค่อยดีขึ้น แต่ตลอดเวลายังคงฟุ้ง ใจคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ยังหยุดใจให้นิ่งไม่ค่อยได้ ยังไม่หยุดดี แต่ก็พยายามประคองใจกลับเข้ามาใหม่ เริ่มใหม่ จนในที่สุดก็รู้สึกโล่ง อยู่ก็ยิ้มออกมาเมื่อถึงจุดหนึ่ง ตอนตั้งใจไม่รู้สึก แต่พอเริ่มปล่อยความรู้สึกนั้นกลับมาอีก แม้จะยังมืดแต่ก็จะพยายาม จะให้ไปเห็นเลยได้อย่างไร ในอดีตเรานั่งมามากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ จะต้องมีความเพียรจะต้องเห็นแน่นอน ดูคุณยายาอาจารย์เป็นตัวอย่างท่านนั่งสมาธิวันหนึ่งมากกว่าเราหลายสิบเท่า เรานั่งแค่วันละ 2ชั่วโมง เท่านั้น ยังคงต้องพยายามต่อไป สู้ๆใจสบายๆๆๆใสๆๆๆ
     คติจากเรื่องการคิดฟุ้ง ใจเรามีนลอยไปไกลเพราะในแต่ละวันที่ผ่านมาเรามีเรื่องมากมาย ข่าวสารมากมาย ความกังวลต่างๆทางโลกทำให้เราหยุดนิ่งไม่ได้ มันคอยแต่จะเข้ามาตลอด หลังจากนี้การถือศีล8 จะทำให้เราเลิกฟุ้งได้ เพราะต้องตัดขาดจากข่าวสารบันเทิงทุกอย่าง ต้องสำรวมกาย วาจาใจ คราวนี้ผลการปฏิบัติธรรมคงก้าวหน้า สาธุๆๆ
19.38น.

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผีบ้าเข้าสิง

"อันภูติผีตนใดมาเข้าสิง
ไม่หยุดนิ่ง มือไม้ใจสั่นไหว
ปากงองุ้ม คิ้วขมวด ใจวุ่นวาย
ยามเมื่อไม่ ได้ประสงค์ ดั่งใจปอง"

25/10/59
19.02น.

     เมื่อใจโกรธ หงุดหงิด เมื่อของที่จะต้องได้ กลับต้องโดนเลื่อนออกไปอีกเกือบ 20 ชม. มันก็ควรจะรอได้แต่ในความรู้สึกมันกลับรู้สึกว่าอะไรแว้ ...ทำไมเป็นงี้ แต่ก็ต้องทำใจเพราะเขาลืม!!!ตอนแรกก็โกรธนะ ตอนนี้ปลงล่ะ.....
     เล่าความฝันเมื่อคืน...จำได้ว่ามีคนชื่อก้อง แล้วก็เป็นขบวณอะไรซักอย่างเหมือนนักศึกษาจะไปทัศนศึกษา แล้วเราก็หลงไปห้องของคนๆนี้ แต่ออกจากห้องไม่ได้ เพราะกลัวคนอื่นเห็น.....จบแค่นี้แล้วกัน
     เมื่อวันก่อนลืมเล่า ฝันว่าเป็นงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง ที่สระน้ำโรงแรมแห่งหนึ่ง ทุกคนสวมชุดราตรีสวยงาม แล้วก็มีน้องคนหนึ่งบอกให้เราช่วยเก็บแว่นที่ตกลงไปในสระ ในฝันเราก็กระโดดลงไป แล้วเราก็เห็นเป็นงูตัวสีออกน้ำตาล กำลังนอนอยู่ก้นสระ เราก็ไม่ได้พูดอะไร...ภาพตัดมาที่ริมสระ เราก็มองไปเห็นงูเขียวตัวหนึ่ง คนละตัวกับตัวก่อน ตัวใหญ่เท่าๆแขนกำลังอาปากกินแมวซึ่งอยู่ก้นสระ เราก็บอกเด็กเสริฟว่า นี่น้องปล่อยให้มีงูในสระได้ไง เด็กเสริฟเห็นตกใจกำลังจะร้องโวยวาย เราก็เลยบอกให้เขาเงียบ เดี๋ยวแขกในงานจะแตกตื่น....จบจำไรไม่ได้ล่ะ
     เรื่องธรรมะที่ได้ในวันนี้ กรรม มีโอกาสดูรายการหนึ่ง เด็กคนหนึ่งชื่อน้องเกตุ เป็นเด็กที่มีสัมผัสพิเศษ สามารถดูดวงคนได้ จากการดูหน้าตา เป็นร่างทรงของพ่อปู่ฤาษีองค์ดำ ทำให้คิดได้ว่า ทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรตามติดมาหมด แต่คนที่หนักๆก็จะมาทำให้เจ็บป่วย หรือเข้าสิง ให้คนคนนั้นทรมาน ทำให้เรากลัวบาป แล้วเราต้องทำบุญ อธิฐานให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
     ความดีของผู้อื่น เดะวัน เป็นเพื่อนสมัยที่ทำงานเก่า เป็นคนง่ายๆมีน้ำใจ ช่วยเหลือเราตลอดเป็นคนขี้สงสารใจดี จนบางทีคนมาเอาจากเปรียบเขาเราก็แอบสงสารเข้าไม่ได้เพราะความขี้สงสาร แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะเขาเป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนดี 
21.03น.
     

     

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ระเบิด!

"ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า กว่าจะมาเป็นมุนษย์แสนยากยิ่ง
เหตุใดท่านมาฆ่ากัน มาสาดยิง
มารเข้าสิงหรืออย่างไร ถึงได้ทำ"

25/10/59
11.06น.
     
     เมื่อวานไม่ได้บันทึกรงบยอดวันนี้เลยแล้วกัน เมื่อวานได้มีโอกาสดูรายการหนึ่ง มูไนท์ เรื่องพญานาคทางยูทูป เป็นเหตุให้จิตใจเริ่มสนใจไปในทางนี้ เลยดูไปเรื่อย ทั้งความสามารถทางจิตของอาจารณ์ต้องจิต คุณฝันดี ฝันเด่น เรียกได้ว่าหาดูย้อนหลังเกี่ยวกับพลังของพวกเขา เพราะโดยส่วนตัวแล้วเราสนใจเรื่องนี้และมีความเชื่อเรื่องนี้ ว่านี่คือของจริง หลายคนคอมเมนท์ว่าหลวงโลก ไม่เชื่อ ชื่อรายการเขาก็บอกว่า มูไนท์ มูเตลูไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ยั้งงงงงจะมีคนไปว่าเขาอีก เฮ้อ.....
     นอกจากนี้ยังมีข่าวที่น่าตกใจเมื่อเวลา 19.00น.มีเหตุระเบิดที่โต้รุ้ง ตรงร้านก๋วยเตี๋ยวเบิ้ม น่าสงสารคนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ชีวิตใครใครก็รักเนอะ วันนั้นเราออกจากบ้านผ่านตรงถนนตรงข้ามกับร้านดังกล่าว ประมาณ 18.45 น.เพื่อไปรับหลาน จนทุ่มเศษหลานก็เรียนพอเศษเสร็จพร้อมกับบอกเราว่ามีระเบิด (เออเนอะ เด็กสมัยนี้รับข่าวเร็วเหลือเกิน) เราก็ถามว่าเมื่อไหร่ คำตอบที่ได้คือเมื่อตอนหนึ่งทุ่มมีระเบิด 
จนเมื่อเช้าตอนไปส่งหลานไปโรงเรียนต้องผ่านทางนั้น ตำรวจเขาก็กั้นทาง ให้เราเบี่ยงไปใช้ทางอื่น ความรู้สึกเหมือนถนนร้างอ่ะ คล้ายๆกับวันก่อนที่มีเหตุระเบิดใกล้บ้าน ครั้งนั้นใกล้มากประมาณ 5 ช่วงตึก ครั้งนั้นได้ยินทั้งเสียง สััมผัสได้ถึงบ้านสั่นๆราวกับแผ่นดินไหว ตำรวจมา แล้วก็กั้นถนน ทุกอย่างเงียบยกเว้นเสียงรถกู้ภัย ครั้งนี้ไม่ต่างกันเลย แต่ครั้งนี้ดูจะมีการสูญเสียมากกว่า มีผู้เสียชีวิตขณะนี้อยู่ที่ 2 ราย ยังเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่รู้เพราะเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกับหลาน 
     คนร้ายนี่ต้องการอะไรกันแน่ ไม่กี่เดือนก็ระเบิดโรงแรมเซาเทริน เสียหายไปหลายแล้ว กำลังเรียกร้องสิ่งใด หรือนี่จะเป็นวิถีของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย ต้องมีการรบราฆ่าฟันกัน ก็เราเป็นสัตว์นิเนอะประเสริฐเลิศล้ำกว่าสัตว์ทั้งหลาย ทั้งทางด้านวัฒนธรรม จริยธรรม ที่มีทั้งดีสุดโต่ง และชั่วสุดขีด เพราะนี่คือโลกมนุษย์ ใช่ๆๆๆๆๆพอพูดเรื่องนี้แล้วก็นึกขึ้นมาได้เรื่องการบรรลุธรรม
     มีเรื่องเล่าเราก็จำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากไหนท่านว่า โลกมนุษย์เป็นสถานที่ของการบรรลุธรรม พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่อยู่บนสวรรค์ ต้องลงมายังโลกมนุษย์ก่อน แล้วจึงจะตรัสรู้ธรรมได้ เพราะฉะนั้นเราเป็นมนุษย์เป็นหนทางที่ดีมากๆที่จะได้มีโอกาสนั้น และยิ่งถ้าเกิดมาในช่วงที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ถือว่าเป็นบุญ แต่ตอนนี้ก็ยังดีเพราะเรายังมีพระธรรมคำสอน อยู่ในช่วงที่มีพระพุทธศาสนาให้ศึกษา ก็ยังถือว่าเรามีบุญอยู่ระดับหนึ่ง ถ้าหากว่าเกิดมาในช่วงที่ไม่มีละก็ ก็เสียเวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะยุคหน้า ยุคพระศรีอริยเมตไตร์ยนั้นเราอยากไปนะ....ประมาณอีกอสงไขยเศษๆ ตอนนี้ก็ศึกษาเรื่องราวของคนในยุคนั้นก่อนแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ
11.53น.
     

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่อยๆ+เจอรถชนกัน+เกิดแสงสว่างเมื่อได้เขียนเรื่องราวความดี..ใจก็เป็นสุข

Today is Sunday. Slow life

23/10/59
19.35น.

     เข้ามาเพราะต้องบันทึกเรื่องราวทั้งวันที่ประสบมา วันนี้ตื่นสายเพราะเห็นว่าสงบดี ไม่ค่อยได้ยินเสียงรถให้วุ่นวาย เป็นวันที่หมดไปเปล่าๆจริง วันนี้ไมด้ดีไปกว่าเมื่อวานอย่างที่ตั้งใจ เป็นเพราะอารมณ์ช่วงนี้หงุดหงิดหรืออย่างไร เครียด...แต่วันนี้ลองได้อ่านเรื่องราวของหลวงพ่อ ก็ทำให้ได้คิด มีกำลังใจกับชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง 
     ขณะที่นั่งพิมพ์บันทึกอยู่นี้ เราชอบเหลือเกิน กับบรรยากาศที่สงบสุข เพราะไม่ได้ยินเสียงรถ เสียงหนวกหูจากการทำงานของโรงงานข้างล่าง เป็นเวลาที่สงบดีแท้ 
     ต่อ วันนี้เจอเหตุการณ์รถเฉี่ยวชนกันด้วย เห็นจากกระจกรถด้านหลัง ในวินาทีนั้นทุกอย่างสโลว์โมชั่น กระจกรถมอเตอร์ไซต์สองคันเกี่ยวกัน ตรงสี่แยก คงเพราะไม่ทันมอง หญิงกับชาย ข้าวกระจายเต็มถนน สองคนก้นกระแทกกับพื้น ดีที่ไม่เป็นไรมาก ชีวิตแค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น หากไม่ระวังความตายก็อาจมาเยือนเรา โดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้คิดได้ว่าเราไม่ควรประมาทต่อชีวิตตนเองจริง เราจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลย ทำให้เริ่มกลัวความตายขึ้นมาแล้ว ไม่ได้กลัวเจ็บ แต่กลัวโลกหน้า ที่เราจะไปเยือนต่างหาก เมื่อความดีที่ได้ทำบนโลกนี้มีเพียงน้อยนิด บาปก็ยังทำ จิตใจช่วงนี้ก็เศร้าหมอง หากว่าเราต้องตาย คงได้ไปอบายแน่ กลัวเหลือเกิน เมื่อได้เห็น วีดีโอ เรื่องอบายที่ฉายทางยูทูป ทำให้เราไม่อยากไปเยือนมันเลยทีเดียว
     เรื่องที่เราได้ไปอ่าน ในโลกโซเซียล หลายๆคอมเม้นที่คนต่างว่ากล่าวสาดเสียเทเสีย ด่าคนนั้นนี้ และที่สำคัญคือการด่าว่าพระ ใครจะหาว่าเรางมงายหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับเรา เรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ ตามศาสนาของเราว่า การด่าว่าพระ การด่าว่าคนดี การใส่ร้ายป้ายสี นั้นเป็นบาป และไม่ใช่จำนวนน้อยเลยทีเดียวมากมายมหาศาล พาลให้นึกไปถึงวันที่คนหล่าวนั้นต้องเดินไปยังนรก เพื่อเข้าไปรอฟังคำตัดสินจากท่านยมบาล คงเดินเบียดเสียดอัดแน่น จนไม่มีทางเดินกันเลย เพราะมันมากเหลือเกิน เราขอเตือนท่านๆไม่ว่าจะมีข่าวเกี่ยวกับพระ สิ่งใดๆก็แล้วแต่ ท่านอย่าได้ร่วมวงกับเขาเลย เลี่ยงเอาไว้ดีกว่า มิฉะนั้นผลกรรมมันหนักหน่าสาหัสมาก โดยเฉพาะหากไปใส่ร้าย พระท่านที่ดีมากๆแล้วล่ะก็ ไม่รู้ว่าต้องลงนรกขุมไหนดี....
     ว่ากันเรื่องอื่นต่อเมื่อคืน จำความฝันตัวเองไม่ได้...ข้าม เรื่องการจับดีผู้อื่นดีกว่า ต่อไป ในหนึ่งวันเราจะบันทึกหัวข้อต่อไปนี้หลังจากที่บันทึกอย่างสะเปะสะปะ เพื่อนที่บังเอิญเข้ามาอ่านเรื่องราวของเราจะได้ไม่สับสนไปกับสำนวนของเรา
1.ความฝัน(ถ้ามี) ปล.เขาว่ากันว่าหากเรายังฝันแสดงว่าเรายังหลับไปลึกพอ
2.เรื่องราวที่พบเจอ ที่รู้สึกในวันนั้น
3.ธรรมะที่ได้ในแต่ละวัน+ผลการนั่งสมาธิ
3.ความดีของผู้อื่นที่เราพบเจอ

ความดีของผู้อื่นวันนี้ 
1.หลานสาวแล้วกัน เธอเป็นหายโกรธง่ายๆมาก (ดีไหม)
2.แม่ เป็นคนใจดี ทำกับข้าวให้เรากินทุกวันเลย 
3.อาแบ(พี่)คนขับรถตุ๊กๆหน้าบ้านช่วยเราเปิดประตูโรงงานด้วย ประตูมันฝืดเราเลยเปิดไม่ไหว ขอบคุณนะคะ

     ปล.วันนี้เจอคนเก็บขยะด้วย น่าสงสาร เขามีรถจักรยานเก่าๆอยู่คันหนึ่ง เราเจอตอนขับรถผ่าน เขานั่งอยู่ในสวนสาธารณะ ข้างจักรยานคนนั้น เหมือนกำลังแทะกินอะไรสักอย่างในมือ ลุงเขาแก่แล้ว ผิวคล้ำๆหน่อย ร่างกายผอมเหี่ยวย่น ลุงนั่งอยู่คนเดียว ทำให้นึกถึงลูกหลายของแกว่าช่างใจดำนัก หรือหากไม่มีทำไมปล่อยให้ญาติของตัวเองต้องเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังชื่นชม แม้ลุงจะไม่มีคนดูแล แต่แกก็ยังขยันเก็บขยะคงเอาไปขาย ได้เงินไม่มากคงมีชีวิตไปวันๆ ถ้าเป็นไปได้ ความฝันของเราอย่างหนึ่งคือโรงทาน เราจะตั้งโรงทาน ใครจะร่วมกับเราบ้าง.....5555
     เราอยากมีโรงทาน แจกอาหารให้กับคนที่ยากจน ข้างๆกันก็จะทำห้องนั่งสมาธิ ไว้สำหรับนั่งปฏิธรรม แล้วเราก็จะทำร้านหนังสือ ที่มีร้านอาหาร ร้านกาแฟอยู่ในนั้น นี่คือความฝันเลยนะ...5555ใครจะหุ้นกับเรามั่ง 
     งั้นแค่นี้ก่อนนะกะว่าจะสวดมนตร์นั่งสมาธิก่อนนอนเสียหน่อย เพื่อนก็ลองทำดูนะ ลืมเรื่องในวันนี้ไปเสีย ศึกษาพระธรรม จากหนังสือก็ได้ หรือจากยูทูปก็ได้ มีให้อ่าน มีให้ดูเยอะเลย แล้วค่อยสวดมนตร์นั่งสมาธิ เริ่มจาก 15 นาทีก่อนก็ได้ แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาให้มากขึ้น 30นาที 1 ชม. แล้วก็เพิ่มๆ ความตั้งใจของเรา ก่อนนอน1 ชม ตอนเช้า 3 ชม. เวลาว่างๆตอนกลางวันสัก 2 ชม. ดีไหม ลองทำจากน้อยๆก่อนก็ได้ เราก็จะเริ่มจาก 30 นาทีก่อนวันนี้
     พรุ่งนี้วันพระ มีเรื่องเล่า(ไม่จบง่าย) เราอาศัยอยู่ในเมือง จังหวัดปัตตานี  ตอนกลางคืน แถวโต้รุ่ง จะมีคนนำดอกไม้มาวางขายตรงทางเดินฟุตบาทเป็นประจำทุกวัน ราวๆ5-6โมงเย็น ทว่าหากวันไหนเราขับรถผ่าน แล้วมีอีกเจ้าหนึ่ง(คนที่จะมาขายเฉพาะวันพระ) มาวางขายใกล้ๆกัน แล้วคนมุงซื้อเยอะ แสดงว่า พรุ่งนี้เป็นวันพระ เจ้าที่ขายอยู่เดิมก็จะเพิ่มปริมาณช่อดอกไม้ที่มัดขาย เรียกได้ว่าขายกันไม่ทันเลยทีเดียวต้องเรียกลูกหลานของตนเองมานั่งขายด้วย เป็นเด็กชาย น่าจะประมาณประถม เราก็ว่าดี รู้จักช่วยพี่น้องหาเงิน ไม่ไปเล่นซนเหมือนเด็กคนอื่น 
     เราไม่ต้องดูปฏิทินเลย จะรู้จากการดำเนินชีวิตของผู้คนได้ทันที และทำให้นึกว่าแม้เมืองที่เราอยู่จะมีคนนับถือศาสนาพุทธไม่ทั้งหมดของพลเมืองอาจจะครึ่งๆพอกับชาวมุสลิม แต่ก็ยังเห็นคนมากมายมาซื้อดอกไม้เพื่อนำไปถวายพระ พุทธศาสนิกชนยังมีศรัทธาอย่างดี ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง.

ปล.หัวข้อเรื่องที่เป็นแบบนั้นเพราะที่ตั้งว่าเรื่อยๆนั้น แปลกจิตใจขณะที่พิมพ์ตั้งแต่บันทัดแรกจนถึงบันทัดสุดท้ายช่างต่างกัน ตอนแรกคิดว่าวันนี้จะบันทึกสิ่งใดดี แต่ทว่าพอนึถึงเรื่องราวที่ได้เจอะเจอ มันก็มีสิ่งดีๆข้อคิด ที่ได้จากการพบเห็นผู้คน สถานการณ์ต่าง ได้แง่คิดดีๆเรื่องบุญกุศล ทำให้จิตใจค่อยๆสว่างขึ้น แปลกๆจริงๆนึกว่าจะเขียนได้แค่ไม่เกินสองย่อหน้า แต่นี้ปล.ตั้งหลายครั้งแล้ว ยิ่งเขียนเรื่องราวดีในวันนี้ก็ค่อยๆพุดขึ้นมาเพื่อจะให้เราได้บันทึกมันเอาไว้ ....และก็ปลอีกครั้ง
     ที่โต้รุ้งอีกเช่นเคย นี่คงจะเป็นสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของคนเมืองเล็กเมืองนี้ เพราะทุกคนต่างมาซื้อกับข้าวสำหรับมื้อค่ำ สองวันมานี้เราสักเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งกางเต้นรับสกรีนเสื้อฟรี ช่างเป็นเรื่องที่ดีอะไรอย่างนี้ คงเป็นเหล่านักเรียนที่ใจดี เห็นช่วงนี้เป็นช่วงที่ประชาชนกำลังไว้อาลัยให้พ่อหลวง ร.9 ของเรา เด็กๆเลยใจดี ใจบุญ รับกรีนเสื้อ เกี่ยวกับในหลวง คนต่างก็เอาเสื้อสีดำของตนมาสกีนกันมาก ต้องยืนต่อแถวกัน ....ดีแล้วในขณะที่สนามหลวงมีคนให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ไป มีการแจกข้าวแจกน้ำ แจกเสื้อฟรี ปัตตานีของเราก็ยังมีกลุ่มวัยรุ่นใจดี ทำความดีเพื่อพ่อหลวงของเรา สาธุๆๆๆ ไปจริงแล้วนะ หลับในอู่ทะเลบุญนะคะ
20.08น.
     



วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วันที่แย่

......วันนี้รู้สึกแย่ มากๆ รู้สึกอยากร้องไห้...การอยู่กับคนที่..........................................................................
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
ช่วงนี้มันเป็นอะไรนักหนา.....
.....................................................................
....................................................................ไม่มีอะไรจะเล่า
เธอ เลือกเขามากกว่าฉัน....ข้นกว่าน้ำ
ฉันชวนเธอให้ไปเธอห่วงเขา
แล้วฉันเล่า เธอไม่รู้หัวใจเทา
มันโศกเศร้า น้อยเนื้อ ฝืนจำทน

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

คุณค่าของการอ่านหนังสือ

ความรู้ คือ อำนาจ
(เซอร์ฟรานซิส เบคอน)

21/10/59
19.56น.

    ก่อนจะพูดเรื่องหนังสือ เล่าเรื่องความฝันให้ฟังก่อน ช่วงที่เริ่มนอน4ทุ่ม สังเกตได้ว่าเรามักฝันแปลกๆ ทุกวัน เหมือนคนฟุ้งซ่าน เอาโน้นนี่มาประติดประต่อ แต่พออีกวันหนึ่งก็ลืม แต่เมื่อคืนยังจำได้มันประหลาดมาก เราฝันเรื่องความตาย สถานที่ที่เราเห็นคือ เป็นลานกว้างโล่งทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนตัดเสมอดูสวยงาม ทว่ากลับมีหลุมใหญ่ยังขุดลึกลงไปเป็นรู้สี่เหลี่ยมคางหมู น่าจะประมาณ 3 เมตรได้ และเราก็ยืนใกล้หลุดนั้น เพื่อมาทำพิธีฝังศพคนๆหนึ่งที่เคยเป็นครูของเรา เธอยังไม่ตาย ในฝันมีคนมาส่งครู ในใจเรานึกสงสัยว่า ครูยังไม่ตายทำไมถึงลงไปในหลุมล่ะ นี่มันไม่ใช่การตาย มันคือการยอมตาย ดูเหมือนครูก็เตรียมใจมาแล้วว่าต้องตาย 
     มีคนโทรหาลูกครูเพื่อให้มาดูใจครั้งสุดท้ายก่อนที่จะโดนดินกลบ ทว่าเธอกลับไม่มา เราร้องไห้เสียใจ รวมถึงลูกศิษย์ของครูด้วย ขนาดเรายังมาแล้วคนเป็นลูกล่ะ แล้วสามีของครูล่ะ ไม่มีใครในครอบครัวเลยนอกจากลูกศิษย์ แล้วครูก็ค่อยนอนลงและปล่อยให้ดินกลบหน้า...ภาพก็ตัดไปอีกเหตุการณ์ เป็นเรื่องของเพื่อนคนหนึ่งสมัยมัธยมต้น เธอกำลังหาที่ฝังศพพ่อของเธอ ทว่ากลับมีศพมาฝังในที่ของพ่อเธอ เธอร้องไห้เมื่อไม่มีที่ว่างสำหรับพ่อเธอ...แล้วก็จำได้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งหน้าเหมือนพี่ชายที่ตายไปแล้ว เขามาอยู่บริเวณนั้นด้วย ดูเหมือนจะเป็นคนเฝ้าสถานที่ คอยจัดสรรว่าใครควรฝังตรงไหน ...แล้วก็จำไม่ได้...แล้วเราก็ตื่น ประมาณ ตี2 กว่า เราก็นอนต่อ
5555วันนี้ถ้าฝันอีกตื่นมาจะจดไว้ บันทึกความฝันว่าจะมีฝันในที่เป็นลางบอกเตุเราบ้าง หรือฝันในที่เกิดจากการกินมาก ฟุ้งซ่านก่อนนอนก็ไม่รู้ จะคอยดู

     มาที่เรื่องของหัวข้อวันนี้ คุณค่าของการอ่านหนังสือ วันนี้ก็ไปได้หนังสือมาใหม่อีกเล่ม ชื่อ "แก่ช้าลงแน่แค่ปล่อยให้ท้องหิว" เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของหนังสือ ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี" แต่มีการ์ตูนเข้ามาสอดแทรก ทำให้น่าอ่านมากขึ้น จากเล่มที่แล้วที่เน้นเนื้อหาเต็มที่ แต่แนะนำว่าควรมีสองเล่ม เล่มนี้จะมีสูตรอาหารของคุณหมอที่แนะนำมาด้วย ต้องลองไปอ่าน 
     นอกจากนี้วันนี้ขอใช้เวลาอ่านหนังสือในห้องสมุด หยิบหนังสือเล่มเก่าๆที่อยู่ในตู้ออกมา อ่านจบเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ยังคงมีประโยชน์เพราะชีวิตมีปัญหา หนังสือที่ซื้อมาจึงเป็นทางแก้ที่พอจะช่วยได้
เลยได้เล่มหนึ่งมาคือ "ตัวเราไม่ธรรมดา" เขียนโดย พระมหาสมชาย ฐานฺวุฑโฒ หวังว่าเราจะสามารถค้นหาศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเราได้ เริ่มจับทางได้นิดหน่อย 
     รู้แต่ไม่ลงมือทำ อ่านหนังสือมาเป็นร้อยเล่ม เข้าสัมนามาเป็นร้อยครั้งแต่ไม่ลงมือทำมันมีสาเหตุมาจากอะไร
     พระท่านได้นำหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาอ้างอิงคือ เราขาด อิทธิบาท4 
1.ขาดแรงบันดาลใจ (ฉันทะ) เลยทำให้เราไม่มีความตั้งใจมากพอที่จะลงมือ 
2.ขาดความเพียร เพราะไม่มั่นใจในความเพียรของตนเอง ใช้ชีวิตไปตามน้ำ เรียนตามเพื่อน ทำงานตามเพื่อน ไม่กล้าเสี่ยง ทำตามคำชี้นำ
3.ไม่มั่นใจในความจดจ่อ นั่นคือไม่มีแรงฮึดต่อเนื่องยาวนาน
4.ไม่เข้าใจในเรื่องที่ทำ เพราะถ้าคนๆหนึ่งรู้ลึกรู้จริงในเรื่องนั้น เขาจะลงมือทำอย่างเต็มใจ เต็มที่ ไม่มีความกลัวที่จะผิดพลาด

...ปล.วันนี้เจอน้องคนหนึ่ง อายุน่าจะประมาณ 9 ขวบ เป็นเด็กผู้ชาย เข้ามาถามเรื่องหนังสือ ให้เราช่วยหาด้วย คนเป็นร้อยเต็มห้องสมุด แต่น้องเขากลับขอช่วย เราเลยอ่ะก็เอา ในใจคิดว่าดีจัง เด็กตัวแค่นี้รู้จักเข้าห้องสมุดหาความรู้ และยังกล้าขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า กล้าถามคนโน้นคนนี้ เราก็ช่วยหาจนเจอ แต่ก็ไม่ใช่ที่ต้องการ น้องเขาก็ลงไปถามเจ้าหน้าที่ใหม่ ขึ้นมาอีกทีบอกอยู่ตึกเก่า "พี่ๆเดี๋ยวน้องไปถามเขาก่อนนะ" แล้วเด็กน้อยก็ลงไปถามเจ้าที่ชายคนหนึ่ง และแล้วเขาก็พาไปหาในตึกใหม่ที่เราหยิบให้เด็กน้อยในตอนแรก...อะไรเนี่ย จนเราต้องขอตัว น้องเขาก็ยังคงวุ่นวายกับการหาหนังสือต่อไป...แล้วเราก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ...จบ 

คำถามประจำวัน
1.หนังสือประโลมโลกคืออะไร?
     ตอบ เรื่องนี้ก็พอเข้าใจอยู่บ้างแต่อยากรู้ให้ลึกให้จริง บังเอิญเจอในหลักการฝึกนิสัยรักการอ่าน ต้องเริ่มจากการอ่านหนังสือที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน นิยาย สารดี.... มันจะค่อยๆฝึกจนเราเริ่มอยากจะรู้ ขยายไปเป็นอ่าน ประวัติศาสตร์ พงศาวดาร ....อะไรประมาณนี้ แต่ขอควรระวังคือ อย่าให้ลูกหลานของท่านอ่านหนังสือประโลมโลก
     ประโลมโลก ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 ได้ให้ความหมายว่า เป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า เกี่ยวกับเรื่องรักๆไคร่ๆ เช่นหนังสือประโลมโลก นิยายประโลมโลก
     
   จากข้างตนก็ยังไม่เครียร์ เลยไปหามาใหม่ คำว่าประโลม คือ (ก.) ทำให้เป็นที่เบิกบานพึงอกพึงใจ 
นั่นแสดงว่า หนังสือประโลมโลกคือ หนังสือเกี่ยวกับเรื่องบันเทิง เบิกบาน ต่างๆ เช่นเรื่องเพศ หรือความรุนแรง 
     บาย วันนี้ง่วงสุดๆๆๆเลย
20.45น.
     

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

คุณแห่งการทานอาหารมื้อเดียว

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
เราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว 
เมื่อเราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว 
ย่อมรู้สึกคุณ คือความเป็นผู็มีอาพาธน้อย 
มีโรคเบาบาง กายเบา มีกำลังและอยู่สำราญ..."
(พุทธดำรัส)

20/10/59
19.28น.

     วันนี้เป็นวันที่ผ่านไปอย่างราบเรียบ ตื่นนอน5.30น สวดมนตร์ทำวัตร นั่งสมาธิครึ่งชัวโมง หลังจากที่เมื่อคืน นอน4ทุ่มตามตารางแปะ ตื่นเองตอนตี4.01น.55555 ไม่รู้ว่าคิดเองหรือเปล่า เมื่อวานก็ตื่นตอนนี้ แต่นอนต่อ จนตี5ครึ่งถึงลุกขึ้น ทำภารกิจ วันนี้มีหลุดๆบ้างไม่เป็นดั่งที่ตั้งใจ แต่ก็ได้วางแผนงานการปรับตัว ครั้งนี้จะต้องสำเร็จ จงสำเร็จ จงสำเร็จ เพื่อดำเนินตามรอยทางของพระพุทธเจ้าที่กล่าวเรื่องการฉันอาหารมื้อเดียว ซึ่งตรงกับหนังสือที่ได้อ่าน หนังสือ"ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี" เมื่อกี้เลยวาดแพลนไว้ 
     หลักการใช้ชีวิตต่อไป วัดผลภายในหนึ่งเดือน ความคาดหวังคือ น้ำหนักต้องลดลง ส่วนที่เหลือคือสุขภาพที่ดี เพราะในตำรากล่าวถึงการปฏิบัติตัวด้วย มิใช่เพียงการทานอาหารเพียงสิ่งเดียว รวมถึงการนอน การใช้ชีวิต เอาล่ะเดี๋ยวคงเห็นกันต่อไป วาดเป็นมายแม็พไว้คร่าว ใครที่อยากทราบรายละเอียดก็ลองไปหาหนังสือมาศึกษาดูนะคะ

mind map
     ในช่วงหนึ่งของวันนี้นึกถึงคำคมหนึ่งที่มีพระรูปหนึ่งท่านได้สอนเราไว้ เมื่อเราเฝ้าแต่ถามตนเองว่า ทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น ทำไมๆๆๆๆ ท่านได้ให้คำกลอนมาบทหนึ่งว่า

"จับดีผู้อื่น พิจารณาตนเอง แล้วเราจะสมบูรณ์แบบ"     
     นั่นคือการมองคนอื่นแต่สิ่งที่เขามีดี เขามีดีอะไร เราจับเอาตรงนั้นมาคิด มาวิเคราะห์แล้วก็นำมาปฏิบัติตาม ส่วนสิ่งไหนที่ไม่ดีเราอย่าไปสนใจ มองหาส่วนที่ดีของเขาเสีย แล้วสิ่งดีๆทั้งหลายจากการจับดีผู้อื่นนั้นก็จะเข้ามาสู่ตัวเรา ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น สมบูรณ์แบบขึ้น 
     ตรงข้าม หากเรามัวแต่จับผิดผู้อื่น ภาพความไม่ดีของเขาก็จะเข้ามาติดอยู่ในใจเรา แล้ววันหนึ่งเราก็จะทำตามเขาไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ประมาณ "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง" อันนี้เรื่องจริง เราเคยผ่านจุดนั้นมาแล้วเลยนำมาบอกได้ ทั้งที่เราบอกๆเตือน และคอยคิดย้ำความผิดของคนอื่น และแล้วเราก็นำกลับมาทำเสียเอง ข้อนี้ลองสังเกตตัวเองดู 
     เอาล่ะวันหลังจะขยายหัวข้อนี้เป็นอีกหัวข้อใหญ่แล้วกัน ไปๆมาๆกลายเป็นการเล่าเรื่องธรรมะไปเสียแล้ว มันก็จริง เรามีที่พึ่งทางใจเป็นพระธรรมนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุด พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสรู้ และนำคำสอนนั้นฝากให้แก่เช้าโลก เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ อยู่ที่ใครจะนำมาใช้หรือไม่ ตำรามากมายในโลก ปัญหามากมาย แก้ได้โดยพระธรรม และนำไปฝึกตัว แล้วจะเกิดผล เราก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังเดินเส้นทางสายนี้ อาจจะไม่สุดโต่งตัดขาดทางโลกเพื่อบวชชี แต่ก็อยากเป็นฆารวาสผู้ทรงธรรม (แต่ถ้าเราเกิดมาเป็นผู็ชายก็ไม่แน่ เราจะบวช) ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขตามหลักพุทธศาสนา เป็นคนดีและช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 
     หวังว่าหนทางการดำเนินชีวิต รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราว ผ่านบันทึกประจำวันนี้ จะเป็นเรื่องราวดีๆที่ทำให้ท่านมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไปไม่มากก็น้อย เราก็จะเล่าเรื่องราวของเราต่อไปในแต่ละวัน เมื่อเกิดปัญหา ก็ตั้งคำถามและหาทางแก้โดยใช้หลักเหตุผลทางวิทยาศาสร์ และนำหลักธรรมมาแก้ปัญหาผสมรวมกันไป ....สาธุขอให้ทุกคนสู้ๆนะ "ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน"แล้วคุณก็จะมีความนับถือตนเอง และเป็นหนทางนำมาซึ่งความสุขต่อไป เราจะร่วมเดินทางไปพร้อมกัน...
20.09น.
     





วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

You are what you eat

"คนเราต้องรู้จักพอประมาณในการกิน"
"กินเพื่ออยู่ มิใช่อยู่เพื่อกิน"
"you are what you eat"
19/10/59
19.37น.
     
     เกริ่นมาแบบนี่เพราะอยากทำได้อย่างคำคมข้างต้นนะสิ แต่ไม่เคย...เรื่องนี่เป็นปัญหาใหญ่ของเราเลยนะ รวมถึงยังเป็นปัญหาของมวลมนุษยชาติ โรคอ้วนถามหากันเป็นแถวๆ ทั้งที่รู้ว่าทานเยอะไปจะไม่ดี ทั้งๆที่รู้ว่า อีก4-5คำจะอิ่มก็ควรหยุด แต่ไม่ค่ะ เอาให้พุงยื่นก่อนค่อยวางช้อน เราประสบปัญหานี้อย่างหนัก จนเริ่มคิดได้ว่า อะไรคือข้อเท็จของเหตการณ์นี่ นี่เรากำลังเป็นอะไร แนวทางดีเขาก็บอกไว้
1.ต้องทานอาหารที่มีปีะโยชน์ กินผัก กินผลไม้
2.งดของหวาน เค็ม กินจืดๆให้ได้รสของธรรมชาติดีที่สุด
3.งดชากาแฟได้ยิ่งดี
3.ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด
4.เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ค่อยๆกิน ค่อยๆลิ้มรส
5.อีก 4-5คำจะอิ่มให้หยุดกิน แล้วดื่มน้ำตามก็จะอิ่มพอดี
6.มื้อเย็นเป็นมื้อที่ไม่จำเป็น
.....และอื่นๆอีกมากมาย
แต่ไฉนเลยข้าพเจ้าจึงทำไม่ได้ เผลอทำตรงข้ามทุกข้อ!
     ดังนั้นเราจะลองทำดูตามตำราหนึ่งที่ท่านได้กล่าวไว้ เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งจากคุณหมอชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า นพ.โยะชิโนะริ นะงุโมะ จากตำราที่ชื่อว่า "ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี" เราคิดว่าเราจะต้องเอาจริงเสียที หลังจากที่ตั้งใจแล้วล้มเหลวไปเป็นท่ามานาน เราจะทำโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน โดยเอาตนเองมาทดสอบตำราดูสิว่า จะได้ผลจริงๆ เหมือนคุณหมอหรือเปล่า เพราะคุณหมอท่านดูเด็กกว่าอายุจริงๆ
     เราจะทำทุกอย่างจัดตารางเวลาให้ลงตัว และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แล้วมาดูผลกันว่า จากวันนี้19/10/59 ไปอีก 1เดือน ร่างกายเราจะเป็นอย่างไร แล้วจะมาอัพเดพตารางที่ว่านะ
     ที่นี้เรามาศึกษาปรากฏการณ์กินไม่หยุดในทางพระพุทธศาสนาท่านว่าอย่างไร ขอไปค้นก่อนนะ..บาย ฝันดีตอนนี้เริ่มง่วงล่ะ 4 ทุ่มๆๆๆๆนอนนนนน
20.08น.

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เมื่อฉันโกรธ...(บันทึกบทที่3)


"พึงระงับความโกรธด้วยความไม่โกรธ"
"โทษใดเสมอด้วยความโกรธ ไม่มี"


18/10/59
18.52
     วันนี้ได้รู้จักความโกรธ ได้รู้จักตนเองมากขึ้นว่าเรายังเป็นมนุษย์ที่มีกิเลส 1 ปีที่ผ่านมายอมรับว่าโกรธบ่อยมาก จากแต่ก่อนที่ไม่ค่อยโกรธใคร ถึงไม่พอใจก็จะเก็บไว้ ทว่าวันนี้ทำให้ได้รับรู้อารมณ์ของตนเองมากจริงๆทั้งที่ๆก่อนหน้านี้ตลอดทั้งวันผ่านไปด้วยดีแล้วแท้
     ตื่นนอน5.30 สวดมนตร์ทำความสะอาดห้อง เป็นเช้าที่สดชื่น การงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ออกกำลังตอนเย็น ทว่าเย็นวันนี้ เมื่อได้ยินคำพูดจากน้องที่เราเอ็นดูเหมือนญาติ พูดจาด้วยน้ำเสียงดูถูก "เจริญล่ะ"(โปรดใส่อารมณ์) คำว่าเจริญตัวมันเองเป็นคำที่ดีนะ เจริญ หากใช้ในบริบทที่ดีงาม เจริญๆนะลูก เจริญงอกงาม แต่ทว่า เมื่อออกมาจากปากน้องคนนี้ มันเสียใจสุดๆ ไม่รวมหลายๆครั้งที่ผ่านมา เราทะเลาะกัน มันโกรธ มันหายใจติดขัด เราเถียงกัน จนน้องเขาลงมือตีเราทั้งๆที่ขับรถอยู่ เราก็ตีกลับสิ เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำอย่างนี้ได่ยังไง สั่งสอนก็ขึ้นเสียงอีก เราไม่จบง่ายๆ แล้วคำว่าอีดอกก็ออกมาจากปากคุณเธอค่ะ อายุห่างกันกี่ปีคะคุณน้อง แก่พอจะเป็นแม่เธอได้แล้ว...(เจ็บสุดๆ)
   เราก็ตอกกลับสิคะ คำหยาบมาเลย เราคิดว่าทำยังไงก็ได้ให้เขาเจ็บเหมือนที่เราเจ็บ จากคำพูดนี่ล่ะเจ็บสุดๆ ทว่าเมื่อลองกลับมานั่งคิดดู ไม่น่าเลยเรา ไม่หน้าไปพูดอย่างนั้นเลย ถ้าเราตอกกลับเขาเราก็ไม่ต่างกับเขา เขาด่าเรา เราด่าเขา เราก็ไม่ต่างจากเขา
     เคยได้ยินคำพูดหนึ่งจากครูอ้อย ถ้าจำไม่ผิด ท่านบอกว่า 
     "คนเรานี่ก็แปลก ไปโกรธเขาเพราะเขาไม่ทำตามกิเลสของเรานี่นะ" มันก็ใช่จริงๆหลังๆเมื่อเราโกรธเราก็จะเข้าใจว่า ที่เราโกรธเพราะเขามาหมิ่นในศักดิ์ศรีเรา เพราะอะไรล่ะ เพราะเราอยากไง...อยากเป็นคนที่ดี ไม่อยากให้ใครมาดูถูก มีความคาดหวังให้เขาเคารพนับถือเรา เมื่อเขาไม่เป็นดั่งใจเรา เราก็โกรธ ความอยากก็เป็นกิเลส ความไม่ได้ดั่งใจเป็นกิเลส
     ยอมรับว่าเราผิด เราสำนึก อยากให้อภัย ไม่อยากก่อเวร...และเมื่อกี้ก็ไปค้นหาข้อมูลเรื่องความโกรธมา ซึ่งตรงกับตัวเองจริงๆ พอจะบันทึกได้ว่า

มาเป็นรูปเลยแล้วกัน

     วันนี้ขอแค่นี้ก่อนพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ ไฟท์ติ้งๆๆๆๆๆ
   the end  20.24น.

   
   

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน(บันทึกบทที่2)


"ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน"


17/10/59
20.22น

     วันนี้ผ่านไปด้วยดี ตั้งแต่เมื่อเริ่มตื่นนอน วันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติโดนไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก เพราะเมื่อคืนนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม อ่านหนังสือเล่นนี้ท่านกล่าวว่า ในช่วง 4 ทุ่ม-ตี2 จะเป็นเวลาที่ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมน และยังช่วยเผาผลาญไขมันในช่องท้อง งานนี้ต้องไม่พลาดหลังจากที่ปกติไม่เที่งคืนก็ตี1
      เช้านี้จึงเป็นเช้าที่สดชื่น หลังจากนั้นก็ซักผ้า ก่อนจะไปส่งหลานที่โรงเรียน เป็นปกติ ทว่าวันนี้ความรู้สึกมันแปลกไป เพราะมีเป้าหมายว่าจะทำอะไรวันนี้ ทำให้ไม่เสียเปล่า
     วันนี้ไปธนาคาร ขับรถกระจกธนาคาร เหลือบไปเห็นคนๆหนึ่งซึ่งเราแอบปลื้มเขามานาน...เขากำลังเดินสวนออกมา เราจอดรถในที่จอด เขาก็ออกมาขึ้นรถพอดี ทว่าไม่กล้าทัก....กี่ครั้งแล้วที่สวนกันที่ไปรษณีย์ แต่ก็ไม่กล้าทักเช่นเคย เราเคยเล่นบาสด้วยกันตอน ม.ต้น ตอนนี้ก็ 10กว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน ตื่นเต้น เรียกได้ว่าเป็นวันที่สดชื่น5555 มีแรกทำงานตามแผนที่วางไว้ เมื่องานทุกอย่างเสร็จ ประโยคหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัว นั่นคือ...
     การทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน หรือจะพูดอีกอย่างคือ ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้ นี่คือเป้าหมาย แม้ว่าสิ่งที่ทำเพิ่มขึ้นในวันพรุ่งจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เช่นพรุ่งนี้จะออกกำลังกาย หรือรถน้ำต้นไม้ อาจจะจัดบ้านใหม่ เป็นต้น ก็ขอให้ได้ทำเพิ่มเติมจากเมื่อวาน เมื่อจบวันเราก็จะสามารถประเมิณตนเองได้อยู่แล้วว่าวันนี้เราทำได้ยอดเยี่ยมกว่าเมื่อวานจริงๆ
     และเป้าหมายของวันพรุ่งนี้ คือการตื่นนอน5.30 น.แล้วออกไปเดิน 45 นาที เพื่อเผาผลาญพลังงาน ในเมื่อขณะนี้ยังห้ามใจเลิกชาเย็นไม่ได้ ก็ต้องเอาของเก่าออก มิเช่นนั้นอาจจะแย่กว่าเดิมก็ได้...ส่วนอื่นๆที่เหลือค่อยคิดอีกที5555
     ตอนเย็นหลังจากไปรับหลานกลับบ้าน ผ่านหน้าบ้านพี่แว่น(ฉายา)บังเอิญเห็นพ่อกับแม่ของเขา จอดรถหน้าบ้านพอดี แล้วสายตาก็ช่างดีเหลือเกิน เมื่อมันทะลุทะลวงเข้าไปในบ้าน เห็นเขากำลังนั่งอยู่ในบ้าน เราก็เข้าใจเลยว่า อ้อ...เขายังอยู่บ้านเดิม จากที่คิดว่าเขาย้ายไปอยู่ที่อื่น...ไม่เห็นตัวเห็นหลังคาบ้านก็ยังดี5555 เพ้อไปเรื่อย ...เอาล่ะวันนี้คงจบแค่นี้ก่อนนะ หลังจากนี้ะว่า จะดุหนังแล้วก็เข้านอนล่ะ 4 ทุ่มนะเด็กๆบายยยยยย...
   

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มนุษย์ (บันทึกบทที่1)

"แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"
(สุนทรภู่จากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมนี)

     คำกลอนที่กล่าวข้างต้น ไม่เกินไปจากความจริงที่ดิฉันสัมผัสได้จริงๆ เราไม่สามารถไปหยั่งรู้จิตใจของใครๆได้ แม้แต่จิตใจของตนเองยังไม่สามารถรู้ได้เลย จะไปหวังรู้ใจคนอื่นได้ยังไง 

     ดิฉันจะถือว่าสถานที่แห่งนี่ หรือบล๊อกนี่เป็นเสมือนสมุดบันทึกเล่มโตของดิฉันที่อยากจะระบายออกมา เพื่อตีแผ่วิถีของมนุษย์ที่ดิฉันเจอะเจอ 
     หากวันหนึ่งมีคนบังเอิญเปิดอ่านดิฉันก็ยินดี ถือเสียว่าถือเสียว่าเข้ามาฟังเรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งก็แล้วกันนะ
     จุดเริ่มต้น เริ่มจากการหาทางออกให้ชีวิตไม่เจอ รู้สึกถึงทางตัน จนต้องเริ่มจดบันทึกสิ่งที่ดิฉันคิด เผื่อว่าวันหนึ่งเมื่อมองย้อนกลับมาจะทำให้ดิฉันเข้าใจความเป็นตัวตนของดิฉัน ไม่ใช่ของคนอื่น แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่และดิฉันอยากกระหายใคร่รู้ยิ่งคือ ภายในตนเอง สิ่งที่คิด กิเลสตนใดมันดลจิตใจ ให้ดิฉันเลือกสิ่งนี้มากกว่าจะทำสิ่งนั้น อะไรทำให้ดิฉันรู้สึกอย่างนั้น ทำไมต้องโกรธ ทำไมต้องรัก ต้องชอบ อะไรเป็นเหตุที่มาของการที่เราจะลงมือกระทำอะไรสักอย่าง

16/10/2559 
19.58น.

     ช่วงนี่เป็นช่วงแห่งการสูญเสียของประชาชนชาวไทย เมื่อได้ยินข่าวการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงของชนชาวไทย  เมื่อวันที่ 13/10/59 ที่ผ่านมา ทุกคนต่างรู้สึกอาลัย รวมถึงเราด้วย พยายามจะไม่ดูสื่อต่างๆเพราะอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ ทุกช่องล้วนเสนอข่าวเกี่ยวกับพระองค์ เกี่ยวกับพระราชกิจ โครงการต่างๆ รวมถึงการไปสัมภาษณ์คนที่เคยพบพระพักตร์และได้ถวายของเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านทั่วหัวระแหง ทุกคนพูดไปก็น้ำตาไหลไป เราก็อดร้องไห้ตามไม่ได้ หลังๆจึงเลิกดู 
     ช่วงนี้เสื้อสีดำขายดี จนเสื้อขาดตลาด เราจะต้องตะเวนหาซื้อ เพื่อไว้ใส่ไว้ทุกข์ให้แด่พ่อหลวง สิ้นค้าขาดตลาด นั่นก็หมายความว่าทุกคนต่างรักและอาลัยแด่ในหลวง นั่นคือสิ่งที่เราสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า แม่ค้าในตลาด พนักงานห้าง หรือแม้แต่คนเก็บขยะก็ยังใส่เสื้อดำ พ่อหลวงรูปที่มีทุกบ้าน ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ต้องเปลี่ยนรัชกาล เคยดูละครเรื่องสี่แผ่นดิน ตอนถึงคราวเปลี่ยนรัชกาล ตัวละครต่างร่ำไห้ เมื่อสิ้นรัชกาลนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรก็ดูไว้เป็นความรู้ แต่เมื่อต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง บอกเลยว่ามันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง เมื่อกลับบ้านมา แม่บอกว่าในหลวงท่านไปเสียแล้ว...น้ำตามันไหล....แต่ก็ต้องยอมรับแล้วดำเนินชีวิตต่อไป พระองค์จะอยู่ในความทรงจำของลูกต่อไป....

     ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี่ชีวิตดูเหมือนจะเรียบง่ายไปหน่อย...ไม่หน่อยล่ะมากเลยทีเดียว ทำให้ต้องคิดทบทวนว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหน เคยวางแผนชีวิตไว้ดิบดี ก็ต้องพังไม่เป็นท่าอีกล่ะ มันคืออะไร อยากแก้ไข อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น รู้หนทางทุกอย่าง อ่านหนังสือทุกเล่ม แต่ก็ยังอยู่ที่เดิม เพราะไม่ลงมือทำ

     จึงต้องหันกลับมาคิดว่าจะแก้ไขการไม่ลงมือทำนี่ยังไง นี่คือสิ่งที่ยากมากๆ ขี้เกียจหรือป่าว ห้ามใจตนเองไม่ได้ อะไรที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ก็รู้ว่าต้องลงมือทำ แล้วทำไมเราไม่รู้สึกว่าต้องลงมือทำล่ะ อาจจะงงใช่ไหม แต่มันคือปัญหาใหญ่เลย หรือไม่มีแรงบันดาลใจล่ะ ที่นักคิดทั้งหลายต่างบอกให้เราหาแรงบันดาลใจ หรือเป้าหมาย ให้เจอแล้วจะมีกำลังใจลงมือทำ 

     หรือจะเป็นเพราะเราเป็นคนคิดมาก คิดแล้วคิดอีก ถ้าทำยังงี้จะดีไหม แล้วปัจจัย ปัญหาที่จะตามมา การยอมรับฯลฯ ต่างๆนานา ผิดกับคนที่ไม่คิดมากแล้วลงมือทำ 

     แล้วถ้ามันเกิดจากความคิด ทำยังไงไม่ให้คิดมาก แล้วลงมือทำล่ะ ....น่าคิดวิธีนี่น่าจะดี

     เริ่มต้นจากอะไรดีอ่ะ ตัวเราก่อนดีไหม เรื่องน้ำหนักรูปร่างของเราที่เป็นปัญหา ถือเป็นเรื่องใหญ่หรือป่าวนะ....เพราะพอจะลดความอ้วนทีไร ก็อดใจกินชาเย็นไม่ได้ทุกที....แสดงว่าเราไม่อยากลดความอ้วนจริงนะหรือ ...รู้ว่าเป็นโทษแต่ก็ยังกิน ชาเย็น กาแฟเย็น โกโก้เย็น 1แก้ว ประมาณ 3 up ไม่รวมวิป ซึ่งปริมาณแคลอรี่ต่อวันนั้น หญิง ประมาณ 1600 ชาย 2000 แต่นี่แค่น้ำดื่มข้างเคียงก็เทียบเท่ากับอาหารมื้อนึงแล้ว ไหนจะข้าวสามมื้อ ของกินเล่น เผลอ 2000+ ...รู้ทั้งรู้เฮ้อ ...
   วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวนอนคิดก่อนว่าจะจัดการกับชีวิต คิด รู้แต่ไม่ทำยังไงดี...กู๊ดไนท์จร้า

    

     
 

 
//